คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2992/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความที่จะฟ้องร้องเพื่อขอเพิกถอนนิติกรรม จำเลยไม่ได้ให้การอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามบทกฎหมายใด ในเรื่องใด เหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความรวมทั้งเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใด เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 4885 เมื่อปลายปี 2520 โจทก์ได้กู้ยืมเงินนายสุวิช และมอบให้นายสุวิชยึดถือ น.ส.3 ก. เลขที่ 4885 ไว้เป็นประกัน โดยนายสุวิชให้โจทก์ลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงิน แบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ และให้ภริยาโจทก์กับโจทก์ลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์หนังสือยินยอมที่ยังไม่ได้กรอกข้อความด้วยเมื่อถึงกำหนดชำระเงินคืน โจทก์ไปหานายสุวิชแต่ไม่พบ และต่อมาทราบว่านายสุวิชถึงแก่ความตายแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2532จำเลยเสนอขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4885 โดยอ้างว่าได้ซื้อจากโจทก์แล้ว โจทก์ไปตรวจดูหลักฐานที่สำนักงานที่ดินอำเภอขามสะแกแสงจึงทราบว่านายสุวิชได้นำหนังสือมอบอำนาจไปกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายสุวิชทำนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรของนายสุวิชโดยได้จดทะเบียนโอนเป็นชื่อของจำเลยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2524 โจทก์ไม่เคยตกลงขายที่ดินให้จำเลยและไม่เคยได้รับเงินค่าขายที่ดิน จำเลยไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียน น.ส.3 ก. เลขที่ 4885ฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2524 เป็นโมฆะไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวคืนให้โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากโจทก์ซึ่งมอบอำนาจให้นายสุวิชไปดำเนินการโอนสิทธิครอบครองให้จำเลย จำเลยรับโอนโดยสุจริต ฟ้องโจทก์ขาดอายุความที่จะฟ้องร้องเพื่อขอเพิกถอนนิติกรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า การจดทะเบียนใน น.ส.3 ก.เลขที่ 4885 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2524 ไม่มีผลตามกฎหมายให้จำเลยจดทะเบียนโอนชื่อใน น.ส.3 ก. ดังกล่าวให้เป็นชื่อของโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายสุวิชโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ดังนั้น นายสุวิชไม่มีอำนาจยื่นคำขอจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลย การกระทำของนายสุวิชย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ เช่นนี้การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนนิติกรรมนั้น เห็นว่าจำเลยให้การเพียงว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความที่จะฟ้องร้องเพื่อขอเพิกถอนนิติกรรมจำเลยไม่ได้ให้การอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามบทกฎหมายใดในเรื่องใด เหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ รวมทั้งเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใด จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share