คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กระบะจะผ่านทางรถไฟ ซึ่งมีป้ายบอกเครื่องหมายว่ามีทางรถไฟข้างหน้าแสดงไว้ รวมทั้งมีป้ายสัญญาณ”หยุด” ในระยะ 5 เมตร ก่อนถึงทางรถไฟบอกไว้ แม้พนักงานเปิดปิดเครื่องกั้นยังไม่ได้นำแผงกั้นลงปิดทางรถยนต์ จำเลยที่ 2 ก็ควรใช้ความระมัดระวังดูแลความปลอดภัยให้แน่เสียก่อนโดยชะลอความเร็วและหยุดรถมองซ้ายขวา ต่อเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้แต่มิได้ปฏิบัติดังกล่าว กลับขับรถด้วยความเร็วสูงลอดเครื่องกั้นผ่านทางรถไฟจนเป็นเหตุให้รถยนต์กระบะเกิดชนกับขบวนรถไฟขึ้นแล้วมีคนที่นั่งมาในรถยนต์กระบะถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ขับขบวนรถไฟมิได้หยุดรถก่อนถึงถนนที่จะตัดกับทางรถไฟโดยที่ยังไม่ปรากฏสัญญาณอนุญาตให้ขบวนรถไฟผ่านได้ เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถพ.ศ. 2524 ข้อ 260 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาตให้หยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟ เมื่อจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนดังกล่าว แล้วนำขบวนรถผ่านถนนไปด้วยความระมัดระวังได้ แต่จำเลยที่ 1 หาได้กระทำเช่นนั้นไม่เมื่อเกิดการชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมาจำเลยที่ 1จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาทต้องรับผิดในผลแห่งความตายของคนที่นั่งมาในรถยนต์กระบะด้วยเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กระบะจะผ่านทางรถไฟซึ่งมีป้ายบอกเครื่องหมายว่ามีทางรถไฟข้างหน้าแสดงไว้รวมทั้งมีป้ายสัญญาณ “หยุด” ในระยะ 5 เมตรก่อนถึงทางรถไฟบอกไว้แม้พนักงานเปิดปิดเครื่องกั้นยังไม่ได้นำแผงกั้นลงปิดทางรถยนต์ก็ตามจำเลยที่ 2 ก็ควรใช้ความระมัดระวังดูแลความปลอดภัยให้แน่เสียก่อนโดยชะลอความเร็วและหยุดรถมองซ้ายขวาต่อเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้ แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติดังกล่าวกลับขับรถด้วยความเร็วสูงลอดเครื่องกั้นผ่านทางรถไฟจนเป็นเหตุให้รถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับไปเกิดชนกับขบวนรถไฟขึ้น จำเลยที่ 2จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุเครื่องกั้นถนนถูกหมุนลงมาเพียง 1 เมตร และสัญญาณไฟ 5 ดวงไม่ติดและตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2524 ข้อ 260 ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวัง การที่จำเลยที่ 1 มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2524 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยา แล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาทด้วยเช่นกันและการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมาเป็นเหตุให้นายสุนทร อักโขพันธ์และนางประทิน อักโขพันธ์ ซึ่งนั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย ความตายของนายสุนทร อักโขพันธ์ และนางประทินอักโขพันธ์ จึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1ด้วยเช่นกัน จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุให้มีคนตายถึง 2 คน การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2เพียง 1 ปี นับได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยทั้งสองในสถานเบาอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข และที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟมาตามราง แต่ไม่หยุดขบวนรถไฟก่อนถึงถนนคีรีรัฐยาเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2524ข้อ 260 เป็นเหตุให้ขบวนรถไฟชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมีคนตาย 2 คน แม้ความตายของบุคคลทั้งสองจะเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วยก็ตาม แต่พฤติการณ์และสภาพความผิดของจำเลยที่ 1ไม่ร้ายแรง จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยมีประวัติการทำงานที่ดี เคยหยุดขบวนรถไฟได้ทันก่อนที่จะชนคนที่นั่งขวางทางจนกระทั่งการรถไฟแห่งประเทศไทยประกาศขอบใจในคุณความดี นับได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีคุณความดีมาแต่ก่อน ประกอบกับจำเลยที่ 1ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1ได้หลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 อีกสถานหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2นั้นในวันเกิดเหตุขับรถยนต์กระบะที่มีคนนั่งอยู่ในกระบะรถ 2 คนด้วยความเร็วสูงลอดเครื่องกั้นถนนในขณะที่เครื่องกั้นถนนกำลังหมุนลงมา เป็นการกระทำโดยประมาทอย่างร้ายแรงไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของบุคคลที่นั่งโดยสารมาในรถ จนเป็นเหตุให้รถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับชนกับขบวนรถไฟคนที่นั่งโดยสารมาในกระบะรถถึงแก่ความตาย 2 คน พฤติการณ์และสภาพความผิดของจำเลยที่ 2ร้ายแรง แม้จำเลยที่ 2 จะให้บิดาจำเลยที่ 2 ขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ตั้งบิดาจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปกครองและให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตรของผู้ตายตลอดมา ก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วนส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 อีกสถานหนึ่งเป็นเงิน3,000 บาท และให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share