คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2649/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์เบิกความเพียงว่า เมื่อได้ยินเสียงแก๊ปปืนดังขึ้นได้หันไปทางเสียงนั้น แล้วเห็นจำเลยวิ่งหลบหนีไปโดยถือปืนไปด้วยโดยไม่เห็นว่า จำเลยใช้ปืนนั้นจ้องเล็งยิงผู้เสียหายหรือไม่ก่อนหน้านั้นจำเลยและผู้เสียหายทะเลาะกันแล้วได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยไม่พอใจที่ผู้เสียหายไม่ยกทรัพย์ให้จึงโกรธจะเผายุ้งข้าวแต่ผู้เสียหายเข้าห้ามไว้และเกิดการวิวาทชกต่อยกันขึ้น จำเลยจึงออกจากบ้านไปโดยกล่าวคำอาฆาตผู้เสียหายไว้ เช่นนี้ เหตุดังกล่าวไม่น่าถึงกับทำให้จำเลยคิดจะฆ่าผู้เสียหาย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งยิงผู้เสียหายแล้ว แต่กระสุนปืนไม่ลั่น กรณีย่อมไม่อาจรับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยได้ คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน โดยลำพังย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ปืนแก๊ปยาวยิงนายชัยยา ใจเที่ยงผู้เสียหายซึ่งเป็นน้องชายของจำเลยโดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ลั่น ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92, 94,289, 80 ริบของกลางและเพิ่มโทษแก่จำเลย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ให้จำคุก 12 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จำคุก 16 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี8 เดือน คำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีประจักษ์พยานมาสืบ 2 ปากคือนายชัยยา ใจเที่ยง ผู้เสียหาย และนางต้น ใจเที่ยง มารดาผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายเบิกความว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายกำลังหุงข้าวอยู่ในครัว ผู้เสียหายได้ยินเสียงแก๊ปปืนดังขึ้น 1 นัดทางทิศตะวันตกห่างจากตัวบ้านประมาณ 5 เมตร เมื่อหันไปดูเห็นจำเลยถือปืนแก๊ปวิ่งไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นถนนในหมู่บ้านส่วนนางต้นเบิกความว่าขณะเกิดเหตุนางต้นออกจากห้องน้ำได้ยินเสียงแก๊ปปืนดัง นางต้นหันไปดูเห็นจำเลยถือปืนวิ่งออกไปตามถนนทางทิศตะวันตก ขณะนั้นจำเลยอยู่ห่างไปประมาณ 3-4 เมตรศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากคงเบิกความเพียงว่า เมื่อได้ยินเสียงแก๊ปปืนดังขึ้นได้หันไปทางเสียงนั้น แล้วเห็นจำเลยวิ่งหลบหนีไปโดยถือปืนไปด้วย พยานโจทก์ดังกล่าวไม่เห็นว่าจำเลยใช้ปืนนั้นจ้องเล็งยิงผู้เสียหายหรือไม่ ที่ผู้เสียหายกับพวกไปแจ้งความว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลอบยิงผู้เสียหายจึงเป็นเพียงการคาดคะเนของผู้เสียหายและนางต้นเท่านั้น เพราะจำเลยและผู้เสียหายเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อนเกิดเหตุ แต่เมื่อพิจารณาถึงกรณีที่จำเลยและผู้เสียหายทะเลาะกันแล้วได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยไม่พอใจที่ผู้เสียหายไม่ยกทรัพย์ให้ผู้เสียหายจำเลยจึงโกรธและจะเผายุ้งข้าว แต่ผู้เสียหายเข้าห้ามไว้และเกิดการวิวาทชกต่อยกันขึ้น จำเลยออกจากบ้านไปโดยกล่าวคำอาฆาตผู้เสียหายไว้ ดังนี้ เหตุดังกล่าวไม่น่าจะถึงกับทำให้จำเลยคิดจะฆ่าผู้เสียหาย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งยิงผู้เสียหายแล้วแต่กระสุนปืนไม่ลั่น กรณีย่อมไม่อาจรับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่เหลือคงมีคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3และ จ.13 ซึ่งโดยลำพังย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share