คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2529/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้จะไม่ปรากฏว่าขณะยื่นคำฟ้องที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ แต่ก็ได้ความว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 75 ตารางวาใช้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ไม่ปรากฏว่าอยู่ในทำเลการค้า เชื่อว่าอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง แม้ที่พิพาทจะเป็นที่ราชพัสดุอันเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังตาม พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มาตรา 5แต่เมื่อจำเลยทั้งสองเข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยโจทก์อนุญาตให้เข้าไปอยู่อาศัยชั่วคราว จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองและมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่ดินราชพัสดุ 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 75 ตารางวา โดยโจทก์ทั้งสองได้รับโอนมาจากนางสังเวียนหลังจากนั้นโจทก์ทั้งสองอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกกระต๊อบอยู่อาศัยในที่ดินชั่วคราว ต่อมาโจทก์ทั้งสองแจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนและขนย้ายกระต๊อบออกไปแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนและขนย้ายกระต๊อบออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ครอบครองที่ดินตามฟ้อง จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามฟ้องโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ราชพัสดุ โจทก์มิได้เป็นผู้เช่าหรือรับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังให้ฟ้องคดีแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินแปลงพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนไม่ปรากฏว่าในขณะยื่นคำฟ้องที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ แต่ก็ได้ความว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียงประมาณ 75 ตารางวาเท่านั้น เป็นที่ดินอยู่ริมคลองใช้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและเป็นที่จอดเรือประมงไม่ปรากฏว่าอยู่ในทำเลการค้า อันอาจจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษแต่อย่างใดเชื่อว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วก็ดีโจทก์ทั้งสองสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองที่ดินพิพาทนั้นก็ดี ล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทเพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุ ผู้มีอำนาจฟ้องขับไล่คือกรมธนารักษ์กระทรวงการคลัง และโจทก์ทั้งสองไม่ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุเดิมนางสังเวียนเป็นผู้ครอบครอง ต่อมาเมื่อปี 2525 นางสังเวียนได้โอนการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสองได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกกระต๊อบอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทชั่วคราวดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ที่ดินพิพาทจะเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มาตรา 5แต่เมื่อจำเลยทั้งสองเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสอง กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองและมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท
พิพากษายืน

Share