คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา193 ทวิ หรือไม่ ต้องพิจารณาความผิดแต่ละกระทง เมื่อความผิดในกระทงนั้นมีความผิดหลายบทรวมอยู่ด้วย ถ้าบทหนักไม่ต้องห้ามศาลก็ต้องถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในกระทงความผิดฐานพาอาวุธปืนและมีดติดตัวไปในทางสาธารณะและหมู่บ้าน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทเมื่อความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, วรรคแรก72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งเป็นบทเบาก็พลอยไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ด้วย เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนและมีดยิงและแทงผู้เสียหายหรือไม่ และได้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยแล้ว ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 371 ให้แก่จำเลยด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83, 91, 288, 571 (ที่ถูกมาตรา 371) พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ส่วนอาวุธปืนแก๊ปโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีไว้ จึงไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 91, 371ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 10 ปี ตามมาตรา 288, 80 และปรับจำเลยคนละ 100 บาท ตามมาตรา 371 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้มาโดยไม่ชอบนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพาอาวุธปืนและมีดเป็นกรรมเดียวกันดังนั้น ในการวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา193 ทวิ หรือไม่ ต้องพิจารณาความผิดแต่ละกระทง เมื่อความผิดในกระทงนั้นมีความผิดหลายบทรวมอยู่ด้วย ถ้าบทหนักไม่ต้องห้ามศาลก็ต้องถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในกระทงความผิดฐานพาอาวุธปืน และมีดติดตัวไปในทางสาธารณะและหมู่บ้านอันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทเมื่อความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 197 ทวิ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งเป็นบทเบาก็พลอยไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจรับวินิจฉัยความผิดกระทงนี้ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อผลแห่งการวินิจฉัยในประเด็นแรกพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสามใช้อาวุธปืนและมีด ยิงและแทงพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ และศาลฎีกาได้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง แล้ว ก็จะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้แก่จำเลยด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share