แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ผู้ตายขายให้แก่จำเลยแม้การซื้อขายจะเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ามีเพียงสิทธิครอบครอง การที่ผู้ตายขายให้จำเลยย่อมเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาทไม่ยึดถือเพื่อตนต่อไปแล้ว การครอบครองของผู้ตายจึงสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 จำเลยได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยนำเงินไปชำระหนี้แทนผู้ตายและรับ ส.ค.1มาจากเจ้าหนี้ผู้ตาย แล้วให้ ส. ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ย ถือได้ว่าเป็นการยึดถือเพื่อตนจำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367ที่ดินพิพาทจึงมิได้เป็นมรดกของผู้ตาย โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย เป็นการฟ้องร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเป็นคดีมีทุนทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน ส.ค.1เลขที่ 31 หมู่ที่ 4 ตำบลบางพลวง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ระหว่างนายชลูดผู้ตายกับจำเลย หากจำเลยไม่สามารถดำเนินการได้ ให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน196,115 บาท
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยไม่เข้าใจฟ้องของโจทก์ ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ที่ดินตามฟ้องเป็นของนายชลูดนายชลูดได้บอกขายที่ดินแปลงนี้แก่จำเลยในราคา 196,000 บาทจำเลยตกลงซื้อ แต่นายชลูดไม่สามารถลุกไปไหนได้ตามปกติ จำเลยจึงไปติดต่อปลัดอำเภอบ้านสร้างให้เป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้ชำระเงินไถ่ถอน ส.ค.1 เลขที่ 31 จากนายจำนงค์และเป็นพยานในหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน และให้รับรองว่าขณะทำหนังสือมอบอำนาจและทำสัญญาซื้อขายที่ดินนั้น นายชลูดมีสติสัมปชัญญะดี สามารถทำนิติกรรมได้ ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 31 ตามฟ้องจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ไม่ได้เป็นทรัพย์มรดกของนายชลูดแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานฟังได้ว่าผู้ตายขายที่ดินให้แก่จำเลยจริง แม้การซื้อขายจะเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ตายมีเพียงสิทธิครอบครอง การที่ผู้ตายขายให้จำเลยย่อมเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่ยึดถือเพื่อตนต่อไปแล้วการครอบครองของผู้ตายจึงสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 จำเลยเบิกความว่า ได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งเชื่อว่าเป็นความจริงเพราะจำเลยได้นำเงินไปชำระหนี้ให้แก่นายจำนงค์แทนผู้ตาย เมื่อจำเลยรับ ส.ค.1 สำหรับที่ดินพิพาทคืนมาจากนายจำนงค์แล้ว จำเลยก็นำไปมอบให้แก่นายไฉนยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้จากนายไฉนและให้นายไฉนทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยอันถือได้ว่าเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตน จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367หลังจากผู้ตายสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทจึงมิได้เป็นมรดกของผู้ตายแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเป็นฟ้องร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ถูกต้องแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันรับฟ้องว่าเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ส่วนที่เกิน 200 บาท คืนให้โจทก์ไปนั้นไม่ถูกต้อง จึงเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องเสียด้วย
พิพากษายืน แต่ไม่ต้องคืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์