คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ศาลจะอนุญาตให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ต่อเมื่อเจ้าหนี้ผู้นั้นไม่อาจเอาชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยจะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะที่ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ เมื่อปรากฏว่าในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาในคดี จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอย่างอื่นตามรายการทรัพย์เอกสารหมาย ร.2ถึง 40 ล้านบาท แม้ต่อมาภายหลังจากยื่นคำร้องแล้ว 1 เดือน จำเลยจะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์นั้น ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดพันธบัตรรัฐบาลซึ่งเป็นทรัพย์ของจำเลย ขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 9,000,000 บาทผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11723/2522 และหมายเลขแดงที่ 13895/2522ของศาลชั้นต้น เป็นเงินจำนวน 31,860,934.52 บาท และได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาไว้เป็นเงิน 13,500,000 บาทไม่พอชำระหนี้ให้ผู้ร้องและจำเลยไม่มีทรัพย์อื่นที่ผู้ร้องจะยึดมาชำระหนี้ได้ครบถ้วน ผู้ร้องจึงขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันโดยมีที่ดินและอาคารจำนองเป็นประกันหนี้ ซึ่งราคาทรัพย์มีราคาสูงคุ้มหนี้แล้ว ทั้งจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นอีกเพียงพอที่จะชำระหนี้ผู้ร้องได้ ขอให้ศาลหักยอดทรัพย์สินที่ผู้ร้องมีเป็นหลักทรัพย์ประกันรวมกับทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกเสียก่อนที่จะนำมาเฉลี่ยทรัพย์
วันนัดไต่สวนคำร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงขอให้จำหน่ายคำร้องอ้างว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคำร้องของผู้ร้องต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ได้หรือไม่ โจทก์อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอื่นอีกเป็นจำนวน 52,600,000 บาทเพียงพอที่จะชำระหนี้ของผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ข้อนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่งและวรรคสองบัญญัติว่า “เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก แต่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นว่านี้มีอำนาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้น เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้เว้นแต่ศาลเห็นว่า ผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา” เห็นว่า ตามมาตรา 290 วรรคหนึ่งและวรรคสองดังกล่าว ศาลจะอนุญาตให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นผู้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ก็ต่อเมื่อศาลเห็นว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้นไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา และการพิจารณาว่าสามารถเอาชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้หรือไม่นั้น ก็ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำแถลงรับของผู้ร้องและโจทก์ว่า ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์นั้นจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอย่างอื่นอยู่อีกตามรายการทรัพย์ในสำเนาเอกสารหมาย ร.2 จำนวน40 ล้านบาทเศษ ซึ่งแม้ต่อมาหลังจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์1 เดือนเศษ จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและจำเลยได้ส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไปหมดแล้วก็ตาม กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์นั้นผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา290 วรรคสอง เพราะในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ผู้ร้องสามารถไปยึดทรัพย์อื่นของจำเลยตามรายการในสำเนาเอกสารหมายร.2 ดังกล่าวมาบังคับชำระหนี้ของผู้ร้องได้ ที่ผู้ร้องอ้างในคำแก้ฎีกาว่า ได้เคยใช้สิทธิขอยึดและอายัดแล้วแต่ไม่สามารถทำได้เพราะผู้ชำระบัญชีทำการรวบรวมเพื่อส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย และต่อมาจำเลยก็ได้ส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวผู้ร้องมิได้นำสืบให้ศาลเห็น และไม่ปรากฏในคำแถลงรับของผู้ร้องและโจทก์ด้วย จึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่า ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่ง ปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ผู้ร้องจะเอาชำระหนี้ได้อีกและอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไว้ในคดีนี้ได้นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

Share