คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องรับจำนองที่ดิน 2 แปลง โฉนดเลขที่ 47398 และ 26695 จากจ. เพื่อประกันหนี้เงินกู้ของ จ. เพียงรายเดียวโดยระบุจำนวนเงินจำนองสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 เป็นเงิน 600,000 บาท และโฉนดเลขที่ 26695 เป็นเงิน 1,900,000 บาท เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เพียงแปลงเดียวเพื่อบังคับชำระหนี้ ผู้ร้องก็ชอบที่จะขอรับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เพียงเท่าจำนวนเงินจำนองของที่ดินดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองตามส่วนเฉลี่ยของจำนวนเงินจำนองของที่ดินแปลงดังกล่าว แม้ผู้ร้องจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินทั้งสองแปลงแล้วและอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถบังคับชำระหนี้จากที่ดินทั้งสองแปลงที่รับจำนองไว้ก็ตาม แต่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ก็มิได้ให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะขอใช้สิทธิจำนองบังคับเอาจากทรัพย์จำนองเกินกว่าจำนวนเงินจำนองอันเป็นการกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้อื่นที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองส่วนที่อยู่นอกเหนือจากความรับผิดตามสัญญาจำนองนั้น ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนองที่ได้ฟ้องบังคับจำนองจนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว และยื่นคำร้องคดีนี้ขอรับชำระหนี้จำนองจากทรัพย์จำนองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ผู้ร้องจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม การยื่นคำร้องตามจำนวนทุนทรัพย์แต่เสียเพียงค่าคำร้อง 20 บาท แม้ผู้ร้องมิได้ฎีกา ก็สมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ของนางจิระพา ซึ่งเป็นหนี้กองทรัพย์สินของจำเลยเด็ดขาดตามหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้น เพื่อทำการขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ค่าหุ้นที่นางจิระพา ยังค้างชำระแก่จำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 ของนางจิระพา ทั้งยังได้ฟ้องบังคับจำนอง และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้นางจิระพาชำระเงินจำนวน 4,135,569.84 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 และที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของนางจิระพาออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้ผู้ร้องจนกว่าจะครบ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ซึ่งค่าธรรมเนียมศาลที่ผู้ร้องได้เสียไปในการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นเงิน 108,705 บาท แต่นางจิระพาไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้ผู้ร้องผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องนี้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้รายอื่นจำนวน 5,676,055.66 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิจากที่ดินเฉพาะโฉนดเลขที่26695 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้เพียงแปลงเดียว และจะมีสิทธิรับชำระหนี้ก่อนไม่เกินวงเงินที่จำนอง คือ ไม่เกิน 1,900,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 ซึ่งได้จำนองไว้ในวงเงิน 600,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนั้น มิได้ถูกยึดไว้ในคดีนี้ผู้ร้องจึงขอรวมกันมาเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นไม่ได้
ศาลชั้นต้นสอบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันตามคำแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงงดการไต่สวนและมีคำสั่งว่าให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองเป็นจำนวนเงิน 4,135,569.84 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีในต้นเงิน 2,500,000 บาท นับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า นางจิระพาลาภานุวัฒน์ ซึ่งเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายได้กู้เงินผู้ร้องไปจำนวน 2,500,000 บาท โดยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่47398 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และโฉนดเลขที่ 26695 แขวงลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขน(บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ประกันไว้ในวงเงิน 600,000 บาทและ 1,900,000 บาท ตามลำดับ ดอกเบี้ยร้อยละ 19.5 ต่อปีต่อมานางจิระพาไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมผู้ร้องจึงฟ้องบังคับจำนอง ศาลพิพากษาให้นางจิระพาชำระเงินจำนวน 4,135,569.84 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18.5 ต่อปี ในต้นเงิน 2,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 และ 26695 ดังกล่าว ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของนางจิระพาออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้ผู้ร้องจนครบ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ดังกล่าวนำมาขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองทั้งสองจำนวนดังกล่าวรวมกันโดยขอรับชำระจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดมานี้ ก่อนเจ้าหนี้อื่นในฐานะเจ้าหนี้จำนอง ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนตามคำร้องจากที่ดินโฉนดที่ยึดขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นนั้น เห็นว่าผู้ร้องรับจำนองที่ดิน 2 แปลง โฉนดเลขที่ 47398 และ 26695 จากนางจิระพาเพื่อประกันหนี้เงินกู้ของนางจิระพาเพียงรายเดียวโดยระบุจำนวนเงินจำนองสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 เป็นเงิน600,000 บาท และโฉนดเลขที่ 26695 เป็นเงิน 1,900,000 บาทเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เพียงแปลงเดียวเพื่อบังคับชำระหนี้ ผู้ร้องก็ชอบที่จะขอรับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เพียงเท่าจำนวนเงินจำนองของที่ดินดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองตามส่วนเฉลี่ยของจำนวนเงินจำนองของที่ดินแปลงดังกล่าว แม้ผู้ร้องจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว และอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถบังคับชำระหนี้จากที่ดินทั้งสองแปลงที่รับจำนองไว้ก็ตาม แต่มาตรา 289 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็มิได้ให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะขอใช้สิทธิจำนองบังคับเอาจากทรัพย์จำนองเกินกว่าจำนวนเงินจำนองอันเป็นการกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้อื่นที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองส่วนที่อยู่นอกเหนือจากความรับผิดตามสัญญาจำนองนั้น เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ได้กำหนดจำนวนเงินจำนองไว้ 1,900,000 บาท และมีดอกเบี้ยอันเกิดจากหนี้เงินกู้ทั้งหมดของนางจิระพาจนถึงวันยื่นคำร้องจำนวน3,062,350.66 บาท กับมีค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองที่ดินทั้งสองแปลงเป็นจำนวน 108,705 บาท ผู้ร้องจึงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เป็นต้นเงินจำนอง 1,900,000 บาท ส่วนเฉลี่ยของดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นคำร้องเป็นเงิน 2,327,386.50 บาทกับส่วนเฉลี่ยของค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองเป็นเงิน82,615.80 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,310,002.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,900,000 บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ ที่ศาลล่างให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้จำนองเต็มจำนวนตามคำร้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังขึ้น
อนึ่ง ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนองที่ได้ฟ้องบังคับจำนองจนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ขอรับชำระหนี้จำนองจากทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 ผู้ร้องจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องตามจำนวนทุนทรัพย์ แต่เสียเพียงค่าคำร้อง 20 บาท การที่ศาลล่างมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มจำนวน 56,561 บาท อย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่ผู้ร้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 แขวงลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ก่อนเจ้าหนี้อื่นเป็นจำนวนเงิน 4,310,002.30 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน1,900,000 บาท นับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก ให้คืนเงินค่าขึ้นศาลจำนวน 56,561 บาทแก่ผู้ร้อง

Share