คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1327/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลได้พิพากษาในคดีนี้ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดใช้เงินจำนวน 15,000,000 บาท แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้บังคับจำนองที่ดินของจำเลยที่ 7 ตามสัญญาจำนองในวงเงิน 1,000,000 บาทที่จำเลยที่ 7 ได้ชำระเงินจำนวน 600,000 บาท ในคดีที่จำเลยที่ 3ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดเกี่ยวกับเช็คก็เป็นเหตุให้คดีอาญาดังกล่าวเลิกกัน หาเป็นการปลดเปลื้องหนี้ตามสัญญาจำนองที่ดินจากเดิมคงเหลือ 400,000 บาทไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซื้อรถจักรยานยนต์จากโจทก์รวม422 คัน เป็นเงิน 11,674,580 บาท แต่ชำระหนี้ให้เพียง 29,700 บาทต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้รวมเป็นเงิน 12,922,7448บาท โดยมีจำเลยที่ 5 และที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันหนังสือรับสภาพหนี้จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 7 ได้จำนองที่ดินคนละ 1 แปลง เป็นประกันหนี้ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินต้นและดอกเบี้ย15,928,949 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 11,278,880 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ มิฉะนั้นให้บังคับจำนองเอาทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 และที่ 7ออกขายทอดตลาด หากได้เงินน้อยกว่าจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาก็ให้ใช้เงินส่วนที่ขาดจนครบ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ค้างชำระหนี้โจทก์เพียง 9,499,300 บาท และโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ2 ต่อเดือนจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ร่วมกันชำระเงิน 15,928,949 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 11,278,880 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จทั้งนี้ โดยให้หักเงินจำนวน 600,000 บาท ออกจากยอดหนี้ดังกล่าว ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2531 ด้วย และให้บังคับจำนองที่ดิน1 แปลง ของจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในวงเงิน 400,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่21 ธันวาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 5 และที่ 6ร่วมกันรับผิดในวงเงิน 11,644,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ มิฉะนั้นให้บังคับจำนองที่ดินของจำเลยที่ 7ตามสัญญาจำนองที่ดินในวงเงิน 1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2530 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จหากบังคับจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ก็ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 7 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนกว่าจะครบจำนวนที่จำเลยที่ 7 จะต้องรับผิดคำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า มิฉะนั้น ให้บังคับจำนองที่ดินของจำเลยที่ 7 ตามสัญญาจำนองที่ดินในวงเงิน 1,000,000 บาทหากบังคับจำนองแล้วได้ไม่พอชำระหนี้ดังกล่าวก็ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 7 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 7 ฎีกาอ้างว่า ได้ชำระหนี้จำนวน 600,000 บาท ให้โจทก์ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่ศาลอาญา จำเลยที่ 7 จึงรับผิดต่อโจทก์เพียง 400,000 บาท นั้นเห็นว่า คดีอาญาดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3ว่ากระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คถ้าหากจำเลยที่ 7 นำเงินไปชำระหนี้ตามเช็คให้โจทก์ก็เป็นการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 3 เป็นผลให้จำเลยที่ 3 สิ้นผลผูกพันคดีอาญาเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หาได้เป็นการปลดเปลื้องหนี้ตามสัญญาจำนองที่ดินแต่ประการใดไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 7 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share