คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยอ้างว่าอุทธรณ์ของจำเลยมีข้อความครบถ้วนตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ภายในกำหนด ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้จำนวน2,392,314.67 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาชำระจนครบ ซึ่งโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 1,872,180.26 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ 2,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 300,000 บาท เริ่มชำระวันที่ 21 เมษายน 2532เป็นต้นไปและต้องชำระให้เสร็จภายใน 5 ปี ผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นขายทอดตลาดเอาชำระได้ทั้งหมดทันที ระหว่างผ่อนชำระไม่คิดดอกเบี้ยเว้นแต่ผิดนัดให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด
ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน 2535 จำเลยได้นำเช็คของธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาท่าเรือ สั่งจ่ายเงินจำนวน 1,492,314.67 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมดให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นรับไว้แล้วสั่งให้โจทก์ไถ่จำนองและคืนโฉนดให้แก่จำเลยภายใน 20 วันหลังจากนั้นโจทก์ยื่นคำแถลงว่า จำเลยยังค้างชำระค่าดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องถึงวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กับค้างชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่ได้สั่งคืนและค่าทนายความรวมเป็นเงิน 174,534.33บาท จึงยังไม่อาจไถ่จำนองและคืนโฉนดให้แก่จำเลยได้ ศาลชั้นต้นนัดพร้อมแล้วสั่งให้จำเลยชำระเงินดังกล่าว และให้โจทก์รับเงินตามเช็คที่จำเลยวางไว้ไปเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2535 หลังจากนั้นในวันเดียวกัน จำเลยยื่นคำขอถอนเงินตามเช็คที่วางชำระหนี้เพราะไม่ประสงค์ที่จะชำระหนี้ก่อนกำหนดอีกต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยจึงนำเงินจำนวน 174,534.33 บาท มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แล้วรับโฉนดกับเอกสารต่าง ๆ คืนไป
ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2535 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยถอนเงินตามเช็คที่วางชำระหนี้โจทก์คืนศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า อุทธรณ์ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้พิมพ์หรือเขียนจึงไม่สมบูรณ์ ไม่รับอุทธรณ์จำเลยจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม2535 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้อุทธรณ์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยทำเป็นอุทธรณ์มิได้ทำเป็นคำร้อง เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงไม่รับอุทธรณ์จำเลย
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่ามิได้เจตนาหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจำเลยต้องทำคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234แม้จำเลยจะทำเป็นรูปอุทธรณ์มายื่นต่อศาล ก็มีผลเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั่นเอง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2535 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ในวันที่ 13 ตุลาคม 2535 หลังจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกือบ 1 เดือน เกินกำหนด 15 วัน คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยยื่นเกินกำหนดเวลาตามกฎหมาย แต่จำเลยกลับฎีกาว่า อุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 14 กันยายน 2535 มีข้อความครบถ้วนตามกฎหมายและปรากฏชัดเจนเป็นที่เข้าใจอยู่ในตัวแล้วว่าผู้ใดเป็นผู้พิมพ์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบซึ่งจำเลยได้คัดค้านเรื่องผิดระเบียบนั้นภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ดังนี้ฎีกาของจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ภายในกำหนดแต่อย่างไร ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share