คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ทนายจำเลยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อพ้นเวลาอุทธรณ์ โดยอ้างว่าเขียนอุทธรณ์เสร็จในเช้าของวันสุดท้ายที่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ แต่ทนายจำเลยท้องร่วงกะทันหัน แพทย์ให้พักรักษาตัว 2 วัน จึงไม่สามารถติดต่อเสมียนทนาย หรือจำเลยได้ อย่างไรก็ตามทนายจำเลยยังมีเวลาอีกเต็มวันที่จะยื่นอุทธรณ์ หรือขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้โดยอาการป่วยของทนายจำเลยไม่ถึงกับต้องนอนพักประกอบกับจำเลยมีทนายความซึ่งอยู่ในสำนักงานเดียวกับทนายจำเลยที่ป่วยอีกคนหนึ่งจึงสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาแทนได้ และเมื่อพิจารณาคำร้องไม่ปรากฏสำเนาอุทธรณ์แนบมาเพื่อแสดงว่าอุทธรณ์ทำเสร็จแล้วทั้งคำร้องขอขยายเวลาอีก 3 วัน นับแต่วันที่ศาลอนุญาต แทนที่จะขออนุญาตยื่นในวันนั้นแสดงว่าทนายจำเลยยังทำอุทธรณ์ไม่เสร็จในวันครบกำหนด จึงฟังไม่ได้ว่ากรณีมีเหตุสุดวิสัย ศาลย่อมไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2533 ให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งจะครบกำหนดอุทธรณ์ในวันที่ 28 มกราคม 2534
ก่อนครบกำหนดอุทธรณ์ ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์รวม 2 ครั้ง อ้างเหตุว่าคำพิพากษายังพิมพ์ไม่เสร็จศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์มีกำหนดครั้งละ 10 วัน และจะครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์หยุดราชการ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 18กุมภาพันธ์ 2534 ได้เป็นวันสุดท้าย ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2534ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีกเป็นครั้งที่สามอ้างว่าป่วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 การขยายหรือย่นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย กรณีของจำเลยนี้จำเลยได้ยื่นขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นครั้งที่สาม ภายหลังจากได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์มาแล้ว 2 ครั้ง และในการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สามนี้ จำเลยได้ยื่นเมื่อพ้นระยะเวลาที่ศาลได้อนุญาตให้ขยายในครั้งที่สองแล้ว ซึ่งตามปกติจะให้ขยายระยะเวลาไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่สามารถยื่นคำร้องนั้นได้ก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาเดิมที่ได้รับอนุญาตให้ขยายไว้กรณีของจำเลยจะเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ได้ความจากการนำสืบชั้นไต่สวนคำร้องของจำเลยว่า นายอุทัยทนายความของจำเลยได้เขียนอุทธรณ์เสร็จแล้วแต่ในตอนเช้าของวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ตามระยะเวลาอุทธรณ์ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ขยายมา นายอุทัยทนายจำเลยท้องร่วงกะทันหันได้เข้าไปให้แพทย์ที่บุญวิสุทธิ์คลีนิครักษา แพทย์ให้พักรักษาตัว 2 วันทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2534โดยอ้างว่า ช่วงระหว่างวันที่ 18-19 นั้น ทนายจำเลยไม่สามารถติดต่อเสมียนทนายหรือจำเลยได้ เพราะคนทั้งสองไปต่างจังหวัด เห็นว่าทนายจำเลยอ้างว่าท้องเสียในตอนเช้า แสดงว่ายังเหลือเวลาอีกเต็มวันที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์หรือยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์และอาการป่วยของทนายจำเลยก็เพียงท้องเสียแพทย์แนะนำให้พักผ่อนเท่านั้นมิใช่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ ซึ่งทนายจำเลยก็เบิกความว่าได้ติดต่อเสมียนทนายและตัวจำเลย แต่บุคคลทั้งสองไปต่างจังหวัด ประกอบกับปรากฏว่าคดีเรื่องนี้จำเลยได้แต่งตั้งนายณรงค์ อินทร์เสวียด ทนายความสำนักงานเดียวกันกับทนายจำเลยนี้เป็นทนายจำเลยอีกคนหนึ่งด้วย นายณรงค์จึงสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อศาลได้ แม้นายอุทัยจะไม่สามารถติดต่อจำเลยและเสมียนทนายจำเลยได้ก็ตาม นอกจากนี้นายอุทัยทนายจำเลยก็อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานเพียงปากเดียวเท่านั้น มิได้นำเสมียนทนายและนายณรงค์หรือบุคคลอื่นใดในสำนักงานมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของตนที่อ้างว่าได้ทำอุทธรณ์เสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์2534 เมื่อพิจารณาคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สามฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2534 ก็ไม่ปรากฏว่ามีสำเนาอุทธรณ์แนบมาด้วยเพื่อเป็นหลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้ทำอุทธรณ์เสร็จแล้วจริง ทั้งปรากฏว่าคำร้องฉบับดังกล่าวได้ขออนุญาตขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 3 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต แทนที่จะขอยื่นอุทธรณ์ในวันนั้นเลยทีเดียว เป็นการแสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยยังทำอุทธรณ์ไม่เสร็จในวันครบกำหนด ฟังไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย”
พิพากษายืน

Share