แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สิทธิเรียกร้องเอาสินจ้างในการก่อสร้าง ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการส่งมอบงานกันหาใช่นับแต่วันที่ทำงานเสร็จไม่ เมื่อโจทก์ผิดสัญญาส่งมอบงานล่าช้าถูกจำเลยปรับ ต่อมาภายหลังโจทก์ขอต่ออายุสัญญา จำเลยก็ขยายระยะเวลาและคืนค่าปรับให้บางส่วนนั้น การคืนค่าปรับไม่ใช่การชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามสัญญาถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินสินจ้างในการก่อสร้าง 4,294,324 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 3,565,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2524 จำเลยได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารที่ทำการแลกเปลี่ยนถุงไปรษณีย์ในประเทศและต่างประเทศทางภาคพื้น ราคา 195,000,000 บาท กำหนดส่งมอบงานเป็นงวด ๆรวม 19 งวด โดยมีคณะกรรมการของจำเลยมาตรวจรับงาน แล้วจึงจะรับเงินแต่ละงวดได้ ตกลงกันว่า โจทก์จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน730 วัน ครบกำหนดในวันที่ 9 กรกฎาคม 2526 หากไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด จำเลยมีสิทธิหักสินจ้างเป็นค่าปรับวันละ 30,000 บาท และค่าคุมงานอีกวันละ 1,000 บาท จนถึงวันส่งมอบงาน จำเลยอาจแก้ไขและเพิ่มเติมแบบแปลนได้ หากจะขยายระยะเวลาให้ตกลงกัน ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 ระหว่างก่อสร้างจำเลยให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมรายการแบบแปลนและให้รอการก่อสร้างเพื่อจำเลยอนุมัติการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรวม 18 รายการ โจทก์แก้ไขแล้วส่งมอบงานให้คณะกรรมการตรวจรับงานของจำเลยตรวจรับงานเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2527การก่อสร้างจึงล่าช้ากว่ากำหนด 202 วัน จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์โดยหักจากสินจ้างที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์งวดที่ 17, 18 และ 19บางส่วน ไว้เป็นค่าปรับ 6,262,000 บาท โจทก์ได้มีหนังสือขอต่ออายุสัญญาจ้างถึงจำเลยตามเอกสารหมาย จ.27 จำเลยตกลงขยายระยะเวลาก่อสร้างให้โจทก์ 87 วัน และคืนเงินค่าปรับที่หักไว้ให้โจทก์ 2,697,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.28 คงปรับโจทก์ตามสัญญา115 วัน เป็นเงิน 3,565,000 บาท ปัญหาวินิจฉัยมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.28 ขยายเวลาให้โจทก์ 87 วัน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม2527 เป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2527 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการต่ออายุสัญญาตามเอกสารหมาย จ.28 ไปอีก 87 วัน นับแต่วันที่9 กรกฎาคม 2526 เป็นต้นไป ระยะเวลาที่ต่ออายุสัญญาดังกล่าวก็ครบกำหนดก่อนวันที่โจทก์ส่งมอบงานคือวันที่ 27 มกราคม 2527ดังนั้น แม้ว่าการต่ออายุสัญญาจะทำให้อายุของสัญญายืดออกไปแต่ก็หาได้มีผลกระทบต่อการนับอายุความอย่างใดไม่ เพราะสิทธิเรียกร้องเอาสินจ้างในการก่อสร้างนั้นต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการส่งมอบงานกันหาใช่นับแต่วันที่ทำงานเสร็จไม่ ส่วนเงินค่าปรับที่โจทก์ได้รับคืนไปจากจำเลยนั้น เกิดจากจำเลยหักสินจ้างไว้เป็นค่าปรับตามสัญญาที่กำหนดเบี้ยปรับไว้ เมื่อโจทก์ผิดสัญญาส่งมอบงานล่าช้าจึงถูกจำเลยปรับ ต่อมาภายหลังโจทก์ขอต่ออายุสัญญาจำเลยก็ขยายระยะเวลาและคืนค่าปรับให้บางส่วน การคืนค่าปรับดังกล่าวไม่ใช่การชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามสัญญายังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ด้วยกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์อันจะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 (มาตรา 193/14(1) ที่ได้ตรวจชำระใหม่) คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องเรียกเงินค่าปรับคืน และจำเลยให้การต่อสู้ว่า สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องเรียกเงินค่าสินจ้างที่จำเลยหักไว้เป็นค่าปรับนั้นขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเงินค่าปรับดังกล่าวก็คือสินจ้างที่จำเลยหักไว้นั่นเอง ข้อต่อสู้ดังกล่าวหาเป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความตามฎีกาของโจทก์ไม่ โจทก์มาฟ้องเรียกเอาสินจ้างตามสัญญาจ้างในวันที่ 20 ตุลาคม 2529 เป็นเวลาเกิน 2 ปี นับแต่วันที่ 27มกราคม 2527 ซึ่งเป็นวันที่มีการส่งและรับมอบงานกัน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(มาตรา 193/34 (1) ที่ได้ตรวจชำระใหม่) ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น สำหรับที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องเรียกค่าปรับคืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 อายุความ 10 ปี และที่โจทก์ขอขยายเวลา โดยจำเลยรับไว้พิจารณา ต้องด้วยมาตรา 170 อายุความเริ่มนับเมื่อวันที่7 ธันวาคม 2527 อันเป็นวันที่จำเลยมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน