คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเพียงหัวหน้าสำนักงานทนายความมิได้เป็นผู้ว่าความในคดีที่จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง ท. และจำเลยที่ 2 ได้แต่งตั้งพ. เป็นทนายความตั้งแต่ยื่นคำฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาด ดังนั้นผลสำเร็จของคดีจึงเกิดจากการทำงานของ พ. หาใช่เกิดจากการทำงานของโจทก์ไม่ สำนักงานทนายความของโจทก์รับคดีมาให้ พ. ว่าความโจทก์ในฐานะหัวหน้าสำนักงานทนายความจะได้รับส่วนแบ่งอย่างไรเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์กับ พ. จำเลยทั้งสองไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ให้ฟ้องคดี โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างว่าความจากจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นทนายความและเป็นเจ้าของสำนักงานทนายความภราดร จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดลำปางเรียกเงินตามเช็คให้แก่จำเลยที่ 2เป็นจำนวน 2,820,000 บาท โจทก์ได้มอบให้ทนายความประจำสำนักงานของโจทก์ไปดำเนินการ โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าจ้างในการว่าความเป็นจำนวนเงิน 250,000 บาท และจะชำระค่าจ้างเมื่อคดีถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายชนะคดี ต่อมาโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าจ้างแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 262,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยว่าจ้างโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยที่ 2 เพียงแต่เป็นผู้แนะนำให้โจทก์รู้จักกับจำเลยที่ 2 เท่านั้น จำเลยที่ 2 เคยเป็นโจทก์ฟ้องนายเทียบ จันทพันธ์ จริง โดยโจทก์แนะนำให้นายพิสิฐ พรหมศรมาดำเนินคดีให้แก่จำเลยที่ 2 และไม่มีการตกลงเรื่องค่าทนายความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 นายพิสิฐเป็นผู้ตกลงค่าทนายความกับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้ชำระค่าทนายความให้แก่นายพิสิฐเรียบร้อยแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความจากจำเลยที่ 2 นอกจากนี้คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะมิได้ฟ้องภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกมีว่า จำเลยทั้งสองได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินคดีฟ้องนายเทียบ จันทพันธ์ ต่อศาลจังหวัดลำปางให้ชำระเงินตามเช็คแก่จำเลยที่ 2 ตามคดีหมายเลขดำที่ 399/2528 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่304/2528 หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 มาปรึกษาโจทก์ซึ่งเป็นเพื่อนกันให้ฟ้องนายเทียบขอให้ชำระเงินตามเช็คเป็นเงิน2,820,000 บาท เพื่อต้องการขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่นายเทียบถูกฟ้องเป็นคดีอื่น แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทรงเช็ค โจทก์จึงพานายพิสิฐ พรหมศร ทนายความไปพบจำเลยที่ 2 ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน250,000 บาท โจทก์เป็นเจ้าของสำนักงานทนายความซึ่งมีทนายความ4 คน รวมทั้งนายพิสิฐด้วย แต่โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า โจทก์เป็นพนักงานตำแหน่งผู้บริหาร 4 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจโดยทำงานตามเวลาราชการ แสดงว่าการที่จำเลยที่ 1ไปปรึกษาโจทก์ให้ดำเนินคดีฟ้องนายเทียบเพราะโจทก์เป็นเพื่อนและเจ้าของสำนักงานทนายความแต่จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนได้เสียในทางคดี เพราะไม่ใช่ผู้ทรงเช็คซึ่งเป็นมูลคดีนี้ ที่จำเลยที่ 1เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวเพราะจำเลยที่ 2 เป็นน้องเขยจำเลยทั้งสองนำสืบเจือสมคำเบิกความของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่แนะนำให้จำเลยที่ 2 รู้จักกับโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไปหาโจทก์ให้ฟ้องนายเทียบขอให้ชำระเงินตามเช็ค แต่โจทก์ว่าไม่ว่างเพราะรับราชการ จึงให้นายพิสิฐลูกน้องทำคดีให้ จำเลยที่ 2 จึงติดต่อกับนายพิสิฐตลอดมาและไม่ได้ตกลงค่าจ้างว่าความกับโจทก์เลยและในการดำเนินคดีดังกล่าวนายพิสิฐพยานโจทก์เบิกความว่าโจทก์เป็นผู้แนะนำจำเลยทั้งสองให้รู้จักพยาน จำเลยที่ 2 ได้แต่งตั้งพยานเป็นทนายความจนคดีเสร็จโดยคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล โจทก์ไม่เคยปรึกษาคดีกับพยานเลย พยานเดินทางไปศาลจังหวัดลำปางถึงสามครั้งคดีก็แล้วเสร็จ แต่ละครั้งจำเลยที่ 2จ่ายเงินให้พยานเป็นค่าใช้จ่ายครั้งละ 2,000 บาท จำเลยที่ 2มอบฉันทะให้พยานรับเงินค่าขึ้นศาลที่ศาลสั่งคืน พยานได้นำไปใช้จ่ายเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท ส่วนที่เหลือคืนจำเลยที่ 2ในชั้นขอเฉลี่ยทรัพย์ จำเลยที่ 2 ได้มอบเงินให้พยานอีก 10,000 บาทศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นเพียงหัวหน้าสำนักงานทนายความมิได้เป็นผู้ว่าความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 304/2528 ที่จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายเทียบเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ชำระเงินตามเช็ค เมื่อนายพิสิฐได้รับมอบหมายให้เป็นทนายความและจำเลยที่ 2ได้แต่งตั้งนายพิสิฐเป็นทนายความซึ่งนายพิสิฐได้ลงชื่อให้คำรับเป็นทนายความ โดยยื่นใบแต่งทนายความเข้ามาในคดี นายพิสิฐไปศาลจังหวัดลำปางดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ยื่นคำฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดโดยคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันสมความมุ่งหมายของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวความ ผลสำเร็จของคดีจึงเกิดจากการทำงานของนายพิสิฐหาใช่เกิดจากการทำงานของโจทก์ไม่ สำนักงานทนายความของโจทก์รับคดีมาให้นายพิสิฐว่าความ โจทก์ในฐานหัวหน้าสำนักงานทนายความจะได้รับส่วนแบ่งอย่างไรเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์กับนายพิสิฐจำเลยทั้งสองไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ให้ฟ้องคดีดังกล่าวตามฟ้องโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างว่าความจากจำเลยทั้งสอง ฎีกาโจทก์ข้ออื่นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share