คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป. รู้อยู่ก่อนแล้วว่าตนเป็นโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย ได้ขอเอาประกันชีวิตต่อจำเลยโดยปกปิดข้อเท็จจริงไม่กรอกข้อความในคำขอเอาประกันภัยว่าตนเป็นโรคดังกล่าวซึ่งถ้าจำเลยทราบความจริงข้างต้นนี้แล้วอาจไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิตด้วย ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยบอกล้างแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิต ตัวแทนในการขายประกันมีหน้าที่เพียงชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยเท่านั้น มิใช่ตัวแทนในการทำกรมธรรม์ประกันชีวิต การที่ตัวแทนในการขายประกันจะได้รู้ถึงข้อความจริงที่ผู้เอาประกันชีวิตไม่เปิดเผยหรือไม่ ก็หาอาจจะยกเป็นข้อยันจำเลยได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายปราโมทย์ ปูทอง มีบุตร 4 คน คือ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 จำเลยประกอบธุรกิจประกันชีวิต นายปราโมทย์ทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยนายปราโมทย์เป็นคนแข็งแรงมีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่เคยได้รับการตรวจและไม่เคยได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน ตัวแทนของจำเลยเสนอให้นายปราโมทย์ทำสัญญาประกันชีวิตโดยมิได้สอบถามเกี่ยวกับสุขภาพของนายปราโมทย์ และหากตัวแทนของจำเลยใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้จากวิญญูชน โดยนำตัวนายปราโมทย์ไปให้แพทย์ทำการตรวจก็จะได้รู้ถึงสุขภาพของนายปราโมทย์นายปราโมทย์ตกลงทำสัญญาประกันชีวิตโดยมิได้ปกปิดความจริงเกี่ยวกับสุขภาพ จำเลยออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้นายปราโมทย์โดยสัญญาว่า หากนายปราโมทย์ถึงแก่กรรมขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับจำเลยตกลงใช้เงินแก่โจทก์ทั้งห้า ต่อมานายปราโมทย์ถึงแก่กรรมด้วยเหตุระบบหายใจและหัวใจล้มเหลว อันสืบเนื่องจากเป็นโรคมะเร็งโจทก์เรียกร้องเงินตามสัญญาประกันชีวิตจากจำเลย แต่จำเลยมีหนังสือบอกล้างสัญญาประกันชีวิตต่อโจทก์ อ้างว่านายปราโมทย์ปกปิดความจริงเรื่องสุขภาพ เมื่อนายปราโมทย์ถึงแก่กรรมแล้วจำเลยมีหน้าที่ต้องใช้เงินให้โจทก์ทั้งห้า ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าขณะทำสัญญาประกันชีวิต นายปราโมทย์รู้อยู่แล้วว่ามีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงอันเป็นโรคร้ายแรงแต่นายปราโมทย์ละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาประกันชีวิตให้จำเลยทราบ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันชีวิตหากจำเลยทราบข้อความจริงดังกล่าวแล้ว จำเลยจะไม่ตกลงทำสัญญาประกันชีวิตกับนายปราโมทย์ การปกปิดข้อความจริงของนายปราโมทย์ทำให้จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นายปราโมทย์ละเว้นไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเคยเป็นโรคความดันโลหิตสูงให้จำเลยทราบ ทั้งฟังไม่ได้ว่าจำเลยควรจะได้รู้เช่นนั้น หากใช้ความระมัดระวังจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน สัญญาประกันชีวิตของนายปราโมทย์จึงตกเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยบอกล้างแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประกันชีวิต พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งห้า
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2528 นายปราโมทย์ ปูทองทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยจำนวนเงินเอาประกัน 94,900 บาทโดยโจทก์ทั้งห้าเป็นผู้รับประโยชน์ ปรากฏตามคำขอเอาประกันภัยประเภทอุตสาหกรรมเอกสารหมาย ล.2 นายปราโมทย์ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและรับการรักษาที่โรงพยาบาลภูเก็ตรวมแพทย์ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2523 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2529แต่นายปราโมทย์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่านายปราโมทย์ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงดังกล่าว ต่อมานายปราโมทย์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2530 และจำเลยบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2530 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ เห็นว่านายปราโมทย์ซึ่งป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและได้รับการรักษาเกี่ยวกับโรคดังกล่าวมาเป็นเวลานานตั้งแต่ก่อนเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย ย่อมต้องทราบดีถึงข้อความจริงที่ตนเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่นายปราโมทย์หาได้แจ้งข้อความจริงดังกล่าวให้แก่จำเลยทราบไม่ ทั้งที่ในคำขอเอาประกันภัยประเภทอุตสาหกรรมเอกสารหมาย ล.2 ที่นายปราโมทย์ยื่นต่อจำเลยก็มีข้อความระบุถามโดยชัดเจนว่านายปราโมทย์เป็นโรคความดันโลหิตหรือไม่ และจำเลยยังมีนายสายหยุด ทวิพัฒน์ รองประธานบริษัทจำเลยเบิกความยืนยันว่าหากจำเลยทราบว่านายปราโมทย์เป็นโรคความดันโลหิตสูง จำเลยอาจไม่รับประกันชีวิตเนื่องจากโรคดังกล่าวเป็นโรคร้ายแรงและรักษาไม่หายและมีนายแพทย์มิตร เทวอักษร แพทย์ประจำโรงพยาบาลภูเก็ตรวมแพทย์เบิกความรับว่า โรคดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ กรณีฟังได้ว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นข้อความจริงที่อาจจะได้จูงใจให้จำเลยเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา ดังนั้นการที่นายปราโมทย์รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคดังกล่าวแต่กลับละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงนั้น ย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่างนายปราโมทย์และจำเลยตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อจำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องใช้เงินตามสัญญาแก่โจทก์ทั้งห้า ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกขึ้นว่า นายประดิษฐ์ อภัยตัวแทนขายประกันของจำเลย ควรจะได้รู้ถึงข้อความจริงเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงสัญญาประกันชีวิตจึงสมบูรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่านายประดิษฐ์เป็นเพียงตัวแทนในการขายประกันและมีหน้าที่เพียงชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยเท่านั้น มิใช่ตัวแทนในการทำกรมธรรม์ประกันชีวิต การที่นายประดิษฐ์จะได้รู้ถึงข้อความจริงดังกล่าวหรือไม่ ก็หาอาจยกเป็นข้อยันจำเลยได้ไม่ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งห้า

Share