คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกนั้นคือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้วโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามดังนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้นเด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอมการกระทำความผิดของจำเลย คือเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมาโดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา3วันรวม5ครั้งจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวหาใช่ต่างกรรมกันตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอมดังฎีกาของโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 277, 317
จำเลยให้การรับสารภาพฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 จำเลยอายุ 19 ปี รู้สึกผิดชอบดีแล้วไม่มีเหตุลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้ลงโทษความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78จำคุก 5 ปี ฐานพรากเด็กหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยให้ความรู้แก่ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 4 ปีรวมจำคุก 9 ปี
โจทก์ และ จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คำจำคุก 2 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยกระทำผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยเป็นสองกรรมโดยฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้งอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก แม้จะบัญญัติให้ระวางโทษเช่นเดียวกันไม่ว่าโดยผู้เสียหายจะยินยอมหรือไม่ก็ตามแต่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งฐานความผิดที่มีทั้งกรรมที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมและกรรมที่ผู้เสียหายยินยอม จึงเป็นความผิดสองกรรม เพราะพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดแตกต่างกันโดยความไม่ยินยอมเป็นเหตุให้ผู้กระทำความผิดต้องข่มขืนโดยใช้กำลังกอดปล้ำ ซึ่งต่างกับความยินยอมให้กระทำชำเราโดยสิ้นเชิง เห็นว่าการกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกนั้น คือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้วทั้งนี้กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น จึงไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้น เด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอม การกระทำความผิดของจำเลย คือ เจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมา โดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน รวม 5 ครั้ง จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว หาใช่ต่างกรรมกันตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอมดังฎีกาของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share