แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยยอมรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่30เมษายน2534และโจทก์จะต้องจ่ายเงิน40,000บาทภายในกำหนดวันดังกล่าวโจทก์จำเลยจึงต่างมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันมีกำหนดเวลาที่แน่นอนปรากฏว่าในวันที่28เมษายน2538จำเลยพร้อมที่จะรื้อถอนออกจากที่ดินของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดวันนัดหากได้เงินโจทก์นำมามอบให้เป็นค่าใช้จ่ายแต่ในวันนัดโจทก์ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลยแต่อย่างไรแสดงว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามสัญญากรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ดังนี้โจทก์จึงยังบังคับคดีไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า จำเลยยินยอมรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2538โดยโจทก์จะต้องจ่ายค่ารื้อถอน 40,000 บาท แก่จำเลยภายในกำหนดวันดังกล่าว ศาลพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีอ้างว่าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในวันที่ 30 เมษายน 2534 แล้วโดยนัดหมายโจทก์เพื่อขอรับเงินค่าขนย้ายไปปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในคราวเดียวกัน เพราะจำเลยมีเงินไม่เพียงพอ แต่โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระค่ารื้อถอนภายในกำหนดเวลาตามคำพิพากษาตามยอม ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดี
โจทก์คัดค้านว่า สัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กำหนดให้โจทก์ต้องชำระเงินก่อนจำเลยรื้อถอน เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงบังคับคดีได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ มีคำสั่งให้โจทก์วางเงินค่ารื้อถอน 40,000 บาทต่อศาลภายใน 7 วัน เพื่อให้จำเลยรับไปหลังจากรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยขนย้ายบริวารทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 47229ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท และใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ500 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายบริวาร ทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2534 และโจทก์จะต้องจ่ายเงิน40,000 บาท ภายในกำหนดวันดังกล่าว สัญญายอมเช่นนี้ โจทก์จำเลยต่างมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันมีกำหนดเวลาที่แน่นอน กล่าวคือจำเลยจะต้องรื้อถอนและขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2538ส่วนโจทก์ก็ต้องจ่ายเงิน 40,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันเดียวกันด้วยคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันที่ 28 เมษายน 2538 จำเลยพร้อมที่จะรื้อถอนออกจากที่ดินของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดวันนัดหากได้เงินโจทก์นำมามอบให้เป็นค่าใช้จ่าย แต่ปรากฏว่าในวันนัดโจทก์ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลยแต่อย่างไรดังนี้แสดงว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามสัญญา กรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ การที่โจทก์ยังมิได้เตรียมพร้อมจ่ายเงินให้จำเลยและจำเลยยังมิได้รับเงินจากโจทก์ จำเลยก็ยังไม่ต้องรื้อถอนออกจากที่ดินของโจทก์โจทก์ยังบังคับคดีไม่ได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น