แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสองเข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินของโจทก์บางส่วนขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน1ปีนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองแย่งการครอบครองดังนี้คดีไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375เพราะจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองมาแต่แรกเมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการแย่งการครอบครองการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบมาตรา246ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246และ247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 24,000 บาท จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,000บาท และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางเล็กยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนของนางเล็กด้านทิศตะวันออกตลอดแนวเนื้อที่ประมาณ 286ตารางวา ให้แก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงได้เข้าไปปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้ง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง ฟ้องโจทก์เรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 และโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิ์ฟ้องร้อง ตามมาตรา 1374,1375 ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำให้การพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองโดยข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติว่า ที่ดินพิพาทโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและโจทก์เสียหายอย่างไร เป็นการไม่ชอบ ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ นายแดง ปานกระโทก นายเจริญ ถนนทะเลและนางเล็ก หอมอุบลรักษ์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อมานายแดง นายเจริญและนางเล็กขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ครอบครองที่ดินทั้งแปลงแต่เพียงผู้เดียว จำเลยทั้งสองเข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนและเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาในที่ดินของโจทก์บางส่วน ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การว่า นางเล็ก นายเจริญขับไล่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การว่า นางเล็ก นายเจริญและนายแดงไม่เคยขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ ที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งสองครอบครองเป็นของจำเลยทั้งสองโดยได้รับการยกให้จากนางเล็ก โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์เรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดขาดอายุความ และโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองแย่งการครอบครอง ดังนี้ คดีไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 เพราะจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ โดยจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองมาแต่แรก เมื่อดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 142 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 246 เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246 และ 247 คดีจึงมีปัญหาวินิจฉัยเพียงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องขาดอายุความหรือไม่ การที่จะวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวจะต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่มีอยู่ครบถ้วนตามที่คู่ความนำสืบให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ศาลชั้นต้นไม่สมควรสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี