คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2887/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326,328,83ต่อศาลแขวงโดยบรรยายฟ้องแยกเป็น3ข้อแต่ละข้อวันเวลาเกิดเหตุต่างกันและการกระทำของจำเลยไม่เหมือนกันแต่ละกรรมเป็นความผิดสำเร็จในตัวเองจึงเป็นความผิดหลายกรรมมิใช่เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทที่ศาลจะต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา328ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90เมื่อปรากฏว่าความผิดฟ้องข้อ1เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา15ประกอบด้วยมาตรา22(5)ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงก็ชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326ตามฟ้องข้อ1นี้ได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้วมีคำสั่งไปตามรูปคดีแม้ว่าความผิดตามฟ้องข้อ2และข้อ3จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา328ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกิน200,000บาทเกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นพระภิกษุ โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 6 เป็นพุทธศาสนิกชน จำเลยทั้ง 16 คนได้ร่วมกันกระทำความผิด คือ (ข้อ 1) เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2537เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 ที่ 10ที่ 12 ที่ 14 และที่ 15 ได้ร่วมกันพูดใส่ความโจทก์ทั้งหกว่าโจทก์ทั้งหกเอาศาสนาบังหน้าหากินสมคบกันกินเงินผ้าป่า เงินกฐินเงินหล่อพระประธาน โดยจำเลยดังกล่าวกล่าวถ้อยคำข้างต้นต่อหน้าสาธารณชน (ข้อ 2) ระหว่างวันที่ 27 เมษายน 2537 ถึงวันที่ 8มิถุนายน 2537 จำเลยทั้งสิบหกกับบุคคลอื่นที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้สมคบกันใส่ความโจทก์โดยโฆษณาเป็นเอกสาร คือคำร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์ต่ออธิบดีกรมการศาสนาและเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่นว่าโจทก์ทั้งหกร่วมกันเอาเงินบริการ จำนวน 1,000,000 บาทของวัดประตันตวนารามไปเป็นประโยชน์ส่วนตนทั้งหมด และใส่ความอีกว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ค้าขายสิ่งของที่ประชาชนนำมาบริจาก โจทก์ที่ 2 มีพฤติกรรมจิตวิปริตชอบเอาหนุ่ม ๆ วัยรุ่นหน้าตาดี และพระในวัดบำเรอความใคร่เป็นประจำ กลั่นแกล้งแจ้งจับชาวบ้านที่ตัดต้นไม้ในวัด และ (ข้อ 3) ระหว่างวันที่ 22 ถึง 25สิงหาคม 2537 จำเลยทั้งหมดโดยมีจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ได้นำเอกสารไปยื่นต่อบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน มีข้อความว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ร่วมกันงุบงิบเงินผ้าป่า กฐิน และเงินหล่อพระประธานของวัดซึ่งเป็นการโฆษณาใส่ความโจทก์ทางหนังสือพิมพ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 326, 328
ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องโดยไต่สวนพยานโจทก์ได้ 1 คน แล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง และวินิจฉัยว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์ ทั้ง หก อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง หก ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งหกว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งหก ข้อ 1 อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยแยกเป็น 3 ข้อแต่ละข้อวันเวลาเกิดเหตุต่างกันและการกระทำของจำเลยไม่เหมือนกันแต่ละกรรมเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง จึงเป็นความผิดหลายกรรมหาใช่เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทที่ศาลจะต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ไม่ เมื่อปรากฎว่าความผิดตามฟ้องข้อ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จึงเป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15มาตรา 22(5) ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงก็ชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326ตามฟ้องข้อ 1 ได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าว แล้วมีคำสั่งไปตามรูปคดี แม้ว่าความผิดตามฟ้องข้อ 2 และข้อ 3 จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกิน 200,000 บาท เกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงก็ตาม ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าฟ้องโจทก์ทุกข้อไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไปเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ตามฟ้องของโจทก์ข้อ 1 แล้วมีคำสั่งตามรูปคดี

Share