คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสามนำที่ดินจำนวน23แปลงของจำเลยที่2ที่ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดรวมอยู่ด้วยมาเป็นหลักประกันการทุเลาการบังคับโดยจำเลยที่2ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินมิให้ทำนิติกรรมใดๆเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นนั้นแม้หนังสือสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่2ทำไว้ต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวจะมีผลจนกว่าจำเลยที่2จำชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์จนครบถ้วนก็ตามแต่ที่ดินที่จำเลยที่2นำมาเป็นหลักประกันศาลชั้นต้นเพียงแต่มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินมิให้ทำนิติกรรมใดๆเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นที่ดินดังกล่าวยังมิได้ถูกยึดหรืออายัดตามบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นจึงไม่ต้องห้ามมิให้กรมสรรพากรยึดที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290กรมสรรพากรย่อมมีอำนาจยึดที่ดินของจำเลยที่2ที่นำมาเป็นหลักประกันไวต่อศาลออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีได้ การที่ผู้ร้องซื้อที่ดินที่กรมสรรพากรขายทอดตลาดและได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300และเมื่อกรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ผู้ร้องแต่เจ้าพนักงานที่ดินมิอาจดำเนินการให้ได้เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวเช่นนี้ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งว่าผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ได้สั่งห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ร้องซื้อมาผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ร้องซื้อมาจากการขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)กรณีไม่มีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมายในการที่จะไม่เพิกถอนคำสั่งห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,284,405 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2538
ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ 22 มิถุนายน 2538 ว่า กรมสรรพากรโดยสำนักงานสรรพากรกรุงเทพมหานครได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมนสังสิทธิโดยนางสุมน สังสิทธิหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 คดีนี้ ตามประกาศขาดทอดตลาดทรัพย์สินลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2536 ทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดมี 41 รายการ ในวันที่ทำการขายทอดตลาดวันที่ 26 เมษายน 2536ผู้ร้องได้ประมูลสู้ราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 20660 และ 20663ตำบลลำปลาทิว (คลองสี่ออก) อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) กรุงเทพมหานครอันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินที่ประกาศขายทอดตลาดไว้ในราคา535,000 บาท และ 480,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งผู้ร้องได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วและกรมสรรพากรได้มีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่ผู้ร้อง แต่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวได้เพราะศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดที่ดินดังกล่าวไว้ในคดีนี้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดที่ดินดังกล่าวและแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะผู้ร้องไม่ใช่คู่ความคดีนี้จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอายัดที่ดิน และจำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันยังต้องผูกพันตามสัญญาค้ำประกันที่เสนอศาลจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระหนี้ครบถ้วนตามคำพิพากษา
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำสั่งที่ห้ามเจ้าพนักงานที่ดินทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 20660 และ 20663 ตำบลปลาทิว (คลองสี่ออก)อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร เสีย และแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยทั้งสามนำที่ดินจำนวน 23 แปลง ของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีที่ดินโฉนดเลขที่ 20660และ 20663 ตำบลลำปลาทิว (คลองสี่ออก) อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ)กรุงเทพมหานคร ที่ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดรวมอยู่ด้วยมาเป็นหลักประกันการทุเลาการบังคับโดยจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ต้องถือว่าสัญญาค้ำประกันมีผลอยู่ต่อไปจนกว่าศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิพากษากลับ เมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นสัญญาค้ำประกันย่อมมีผลต่อไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วน และผู้ร้องมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งห้ามของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า แม้หนังสือสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2ทำไว้ต่อศาลชั้นต้นจะมีผลจนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์จนครบถ้วนก็ตาม แต่ที่ดินที่จำเลยที่ 2 นำมาเป็นหลักประกันนั้นศาลชั้นต้นเพียงแต่มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ที่ดินดังกล่าวยังมิได้ถูกยึดหรืออายัดตามบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่น จึงไม่ต้องห้ามมิให้กรมสรรพากรยึดที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 กรมสรรพากรย่อมมีอำนาจยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ที่นำมาเป็นหลักประกันไว้ต่อศาลออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีได้ การที่ผู้ร้องซื้อที่ดินโฉนดเลขที่20660 และ 20663 อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่กรมสรรพากรขายทอดตลาดดังกล่าวและได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และเมื่อกรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ผู้ร้อง แต่เจ้าพนักงานที่ดินมิอาจดำเนินการให้ได้เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งว่าผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ได้สั่งห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ร้องซื้อมา ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ร้องซื้อมาจากการขายทอดตลาดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) ไม่มีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมายในการที่จะไม่เพิกถอนคำสั่งห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว
พิพากษายืน

Share