คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในขณะที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนให้จำเลยที่1โอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่1ให้แก่โจทก์นั้นเป็นช่วงเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำลังประกาศขายทอดตลาดที่ดินส่วนของจำเลยที่1และพ. ตามคำสั่งศาลในคดีหลังจึงเป็นกรณีที่จำเลยที่1ไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาคดีก่อนได้และปรากฎว่าจำเลยที่1ได้คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โดยนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นการปฎิบัติตามขั้นตอนของการบังคับคดีที่กำหนดไว้ก่อนหลังตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้วจึงไม่ทำให้โจทก์เสียหายดังนั้นการที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินส่วนของจำเลยที่1และพ. จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและจดทะเบียนการโอนที่ดินดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่2ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7053 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 เนื้อที่ 296 ตารางวาจากจำเลยที่ 2 คืนมาเป็นของจำเลยที่ 1
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7053 เฉพาะส่วนของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7053 ตำบลโพงพาง อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 1 โอนแก่จำเลยที่ 2 เนื้อที่ 296 ตารางวา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับนางทม เข็มทอง และนายเพียร โพธิ์เนียม มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 7053 ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวากรุงเทพมหานคร โดยส่วนของจำเลยที่ 1 มีเนื้อที่ 296 ตารางวาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ในราคา 355,200 บาทตกลงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่ 28 มีนาคม 2523 แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมมาโอนให้โจทก์ได้เพราะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอีก 2 คน ไม่ยินยอม จำเลยที่ 1ฟ้องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม 2 คน ขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวตามคดีหมายเลขแดงที่ 5386/2530 ให้นำที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1และนายเพียรออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน ในระหว่างที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1และนายเพียรตามคำสั่งศาล โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ชำระเงินค่าที่ดิน 352,200 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว หากไม่สามารถโอนได้ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10804/2532 ของศาลชั้นต้นและคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 กับส่วนของนายเพียรออกขายทอดตลาดจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้และได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 ได้หรือไม่ เห็นว่าในขณะที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10804/2532 ให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีกำลังประกาศขายทอดตลาดที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 และนายเพียรตามคำสั่งศาล ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่10804/2532 ได้ และปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ได้คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โดยนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นการปฎิบัติตามขั้นตอนของการบังคับคดีที่กำหนดไว้ก่อนหลังตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้ว จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหาย การที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 และนายเพียรจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและจดทะเบียนการโอนที่ดินดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 2 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา 1300 และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246,247 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share