คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องคดีเดิมเป็นคดีระหว่างจำเลยที่2ในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์กับโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ว่าจำเลยที่2รับโอนที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตจำเลยที่2มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทโดยมิได้วินิจฉัยว่าใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คดีถึงที่สุดแล้วสำหรับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีว่าโจทก์หรือจำเลยที่1เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทหากฟังว่าจำเลยที่1เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนโจทก์โจทก์ก็เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำเลยที่1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ทำให้จำเลยที่1ไม่มีสิทธินำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปโอนให้แก่จำเลยที่2ไม่ว่าจะโอนโดยสุจริตหรือไม่สุจริตและยังมีประเด็นอีกว่าโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2หรือไม่โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทให้แก่โจทก์ในฐานที่โจทก์เป็นเจ้าของหรือให้ชดใช้ราคาแทนหรือไม่ประเด็นดังกล่าวข้างต้นเป็นคนละประเด็นกันกับที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ในคดีเดิมการพิจารณาคดีนี้ตามประเด็นดังกล่าวข้างต้นมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วกรณีจึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำสำหรับประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีก่อนที่ว่าจำเลยที่2ในคดีนี้ได้รับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไว้โดยไม่สุจริตอันเป็นเหตุให้ฟังได้ว่าจำเลยที่2มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นหากในคดีนี้ศาลฟังว่ากรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยที่1ในประเด็นต่อไปอาจจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่2รับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปโดยสุจริตหรือไม่หากจะมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144ประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียวที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำทั้งหมดทุกประเด็นจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)ประกอบมาตรา247จึงชอบที่ศาลฎีกาจะพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเฉพาะประเด็นที่มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำดังวินิจฉัยแล้วข้างต้นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่13450 และ 6529 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินมีตึก 1 หลัง เลขที่112/3 ตั้งอยู่ที่ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2533 โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในราคา 3,000,000 บาท โดยโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยครบถ้วนแล้ว แต่ในการทำสัญญาดังกล่าว โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1เป็นผู้ผูกพันในสัญญารับโอนที่ดินไว้แทนโจทก์และต่อมาเมื่อวันที่15 กุมภาพันธ์ 2533 บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จดทะเบียนขายที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้ไว้ในนามของจำเลยที่ 1 แทนโจทก์ไว้ก่อน แต่ปรากฎว่าหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่ง จำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อประมาณปลายเดือนเมษายน 2533โจทก์จึงบอกจำเลยที่ 3 ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ให้ระงับการซื้อขายไว้เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงไว้แทนโจทก์เท่านั้น และต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 ให้โอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยและสมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนขายที่ดินดังกล่าวไปโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน แล้วจำเลยที่ 2และที่ 3 ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทของโจทก์ทั้งสองแปลงไปจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขากะโรม ในวันเดียวกับที่จดทะเบียนโอนที่ดินคือวันที่ 24 พฤษภาคม 2533 นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังได้ยื่นฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่อศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 768/2533 การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13450 และ 6529 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารสองชั้น 1 หลัง ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 และให้มีคำสั่งว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวทั้งสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนให้โจทก์ หากไม่ปฎิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากจำเลยทั้งสามไม่สามารถโอนที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ได้ซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนได้จดทะเบียนโอนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนซื้อจำเลยที่ 2 และที่ 3แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้าน โจทก์เพิ่งมีหนังสือโต้แย้งกรรมสิทธิ์หลังจากที่ถูกจำเลยที่ 2 แจ้งให้โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องคดีนี้เพราะถูกจำเลยที่ 2 และที่ 3ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 768/2533 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับสำนวนคดีที่จำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ตามคดีแพงหมายเลขดำที่ 768/2533 มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท และได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นดังกล่าวแล้ว เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาในชั้นนี้เฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำฟ้องเดิมตามสำนวนคดีแพ่งของศาลชั้นต้น หมายเลขดำที่768/2533 หมายเลขแดงที่ 1116/2534 ระหว่างจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยไว้ว่า จำเลยที่ 2รับโอนที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตจำเลยที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท โดยมิได้วินิจฉัยว่าใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คดีถึงที่สุดแล้วตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 6320/2577 สำหรับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทหากฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนโจทก์ โจทก์ก็เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท จำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ไม่ว่าจะโอนโดยสุจริตหรือไม่สุจริต และยังมีประเด็นอีกว่า โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อชายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทให้แก่โจทก์ในฐานที่โจทก์เป็นเจ้าของหรือให้ชดใช้ราคาแทนหรือไม่ ประเด็นดังกล่าวข้างต้นเป็นคนละประเด็นกันกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยไว้ในคดีแพ่งดังกล่าว การพิจารณาคดีนี้ตามประเด็นดังกล่าวข้างต้นจึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้ว กรณีจึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ สำหรับประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีก่อนที่ว่า จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ได้รับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไว้โดยไม่สุจริตอันเป็นเหตุให้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้น หากในคดีนี้ศาลฟังว่ากรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยจำเลยที่ 1 ในประเด็นต่อไปอาจจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2รับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปโดยสุจริตหรือไม่ หากจะมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าเป็นการดำเนินการกระบวนพิจารณาซ้ำทั้งหมดทุกประเด็นจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา243 (2) ประกอบมาตรา 247
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเฉพาะประเด็นที่มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำดังวินิจฉัยแล้วข้างต้น แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share