คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินค่าทดแทนที่ดินที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้แก่โจทก์ในครั้งสุดท้ายเป็นเงินเต็มตามจำนวนที่โจทก์ขอเพิ่มค่าทดแทนในการอุทธรณ์ครั้งหลังเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เต็มจำนวนราคาตามคำอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่มีข้อที่โจทก์จะโต้แย้งได้ว่าจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินที่รัฐมนตรีกำหนดให้นั้นยังไม่เป็นที่พอใจของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินเกินกว่าจำนวนที่โจทก์อุทธรณ์ขอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วรรคหนึ่ง ราคาต้นไม้โจทก์เป็นผู้กำหนดเองและราคาที่กำหนดนี้อาจต่อรองกันได้และเมื่อจำเลยที่1จ่ายค่าทดแทนให้แล้วจำเลยที่1ไม่ได้นำต้นไม้ไปด้วยยังคงเป็นของโจทก์อยู่ราคาต้นไม้บางชนิดเป็นราคาที่โจทก์ตั้งขึ้นเองยังสามารถลดราคาลงอีกได้จึงไม่ใช่ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาลักษณะที่โจทก์เรียกร้องค่าไม้ยืนต้นนั้นเป็นการคาดคะเนโดยรวมเอาเองทั้งสิ้นเมื่อค่าทดแทนไม้ยืนต้นที่จำเลยกำหนดให้แก่โจทก์ได้ดำเนินการไปตามหลักเกณฑ์และระเบียบของทางราชการประกอบกับโจทก์มีเวลาถึง2ปีที่จะขุดไม้ยืนต้นในบริเวณที่ดินที่ถูกเวนคืนออกขายได้ทุกต้นดังนั้นเงินค่าทดแทนไม้ยืนต้นที่โจทก์ได้รับนั้นเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23371เลขที่ดิน 323 ตำบลปากเกร็ด (สีกัน) อำเภอปากเกร็ด(ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวาในที่ดินมีต้นไม่ยืนต้นรวม 937 ต้น วันที่ 12 ธันวาคม 2530ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอปากเกร็ด อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรีและเขตบางเขน เขตดุสิต เขตพญาไท เขตปทุมวัน เขตบางรักเขตยานนาวา เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2530 เพื่อสร้างทางพิเศษระบบทางด่วนขึ้นที่ 2 สายบางโคล่- แจ้งวัฒนะ มีผล ใช้บังคับในวันที่ 1 มกราคม 2531 ทำให้ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนทั้งหมด จำเลยทั้งสี่กำหนดค่าทดแทนที่ดินจำนวน 4,806,000 บาท และค่าทดแทนไม้ยืนต้นจำนวน 52,478 บาทโจทก์เห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำมากและไม่เป็นธรรมจึงอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้เพิ่มค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์ จำนวน 7,290,000 บาท วันที่ 13พฤศจิกายน 2535 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับเงินค่าทดแทนเพิ่มตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 44 จำนวน 8,424,000 บาท รวมเป็นค่าตอบแทน20,172,478 บาท วันที่ 8 มกราคม 2536 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพราะเห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายเงินค่าทดแทนไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ด้านหน้าติดถนนแจ้งวัฒนะยาว 36 เมตร ตั้งอยู่ใกล้เคียงแหล่งธุรกิจแหล่งคมนาคมและแหล่งราชการ ราคาที่ดินที่แท้จริงและเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนโจทก์ควรได้รับตารางวาละ 110,000 บาทโจทก์สมควรได้รับค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นค่าดินปรับถมพื้นที่ราคาต้นไม้ยืนต้น และค่าเสียหายที่ต้องออกจากที่ดิน รวมเป็นเงิน135,058,251 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน135,058,251 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของต้นเงิน 92,092,478 บาท นับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่ได้เป็นผู้กำหนดค่าทดแทนการเวนคืนในคดีนี้เป็นการส่วนตัว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดเป็นการส่วนตัว จำเลยทั้งสี่กำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรม โดยคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯได้กำหนดราคาที่ดินตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 9 และมาตรา21 ค่าทดแทนไม้ยืนต้นถือตามราคาของกองส่งเสริมพันธุ์ กรมส่งเสริมการเกษตรในวันที่พระราชกฤษฎีกาฯใช้บังคับ ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขอค่าทดแทนเพิ่มเติม คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ กำหนดค่าทดแทนที่ดินเพิ่มให้โจทก์อีก 7,290,000บาท โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นในชั้นอุทธรณ์แล้ว แต่มิได้ยืนฟ้องต่อศาลภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรี แสดงว่า โจทก์พอใจในคำวินิจฉัย การพิจารณาค่าทดแทนของโจทก์ในคดีนี้จึงถึงที่สุดแล้ว เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวันที่ 7 มิถุนายน 2533รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ได้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2533โจทก์ต้องฟ้องคดีภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2534 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว การที่จำเลยที่ 1 จ่ายค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์เพิ่มขึ้นอีก 8,424,000 บาท เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน2535 ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44ไม่เป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง แก่โจทก์ขึ้นมาใหม่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ที่โจทก์อ้างว่าที่ดินของโจทก์อยู่ใกล้แหล่งธุรกิจ แหล่งคมนาคมและแหล่งราชการมีราคาซื้อขายที่ดินตารางวาละ 110,000 บาทเป็นการกล่าวอ้างขึ้นเองและเป็นเรื่องเลื่อนลอย โจทก์ถมดินปรับพื้นที่ก่อนมีการประเมินราคาทดแทนที่ดินราคาค่าตอบแทนที่จำเลยทั้งสี่กำหนดให้โจทก์จึงรวมค่าถมที่ดิน ปรับพื้นที่แล้วค่าทดแทนไม้ยืนต้นถูกต้องและเป็นธรรมแล้วโจทก์มิได้มีความเสียหายเพราะต้องออกจากที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าทดแทนเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพียงใด สำหรับค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนนั้น ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์กับฝ่ายจำเลยและคำแถลงรับของโจทก์ฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 23371 ตำบลปากเกร็ด (สีกัน) อำเภอปากเกร็ด(ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวาของโจทก์ทั้งแปลงอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอปากเกร็ดพ.ศ. 2530 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลใช้บังคับวันที่ 1มกราคม 2531 จำเลยที่ 1 กำหนดค่าทดแทนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์รวม 4,806,000 บาท โจทก์ไม่พอใจได้ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ขอให้กำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินไม่ต่ำกว่าตารางวาละ 50,000 บาทตลอดทั้งแปลง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ตารางวาละ 12,000 บาท ตลอดทั้งแปลงเพิ่มจากเดิม7,290,000 บาท ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2535 จำเลยที่ 1ได้จ่ายเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ตามหลักเกณฑ์ของประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 เป็นเงิน 8,424,000บาท โจทก์ยังไม่พอใจ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2536 ขอให้กำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินตารางวาละ 60,000 บาท โดยระบุว่าโจทก์ขอสงวนสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลเกินกว่าราคาตารางวาละ 60,000 บาท หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1จ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มเติมราคาตารางวาละ 60,000 บาทระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น วันที่ 29 เมษายน 2537คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นเป็นตารางวาละ 60,000 บาท เต็มตามจำนวนที่โจทก์อุทธรณ์ขอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และวันที่ 30 มิถุนายน 2537โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยตามมาตรา26 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 รวม 45,334,072.60 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า เงินค่าทดแทนที่ดินที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้แก่โจทก์ในครั้งสุดท้ายนี้เป็นเงินเต็มตามจำนวนที่โจทก์ขอเพิ่มค่าทดแทนในการอุทธรณ์ครั้งหลัง เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เต็มจำนวนราคาตามคำอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีข้อที่โจทก์จะโต้แย้งได้ว่าจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินที่รัฐมนตรีกำหนดให้นั้น ยังไม่เป็นที่พอใจของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินเกินกว่าจำนวนที่โจทก์อุทธรณ์ขอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 26 วรรคหนึ่ง
สำหรับค่าทดแทนค่าดินถมปรับพื้นที่นั้น โจทก์อ้างว่าโจทก์ถมดินบริเวณบ้าน ทำถนนลาดยางและหินคลุกเป็นทางเชื่อมระหว่างที่ดินไปสู่ถนนแจ้งวัฒนะและจากประตูรั้วบ้านถึงตัวบ้าน เสียค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่ดินและถมดินให้สูงขึ้นรวมเป็นเงิน 600,000บาท ข้อนี้โจทก์ได้เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่าโจทก์ได้ถมดินปรับพื้นที่เมื่อปี 2526 ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่ดินโจทก์จะถูกกำหนดเป็นบริเวณที่ที่จะต้องเวนคืนถึง 4 ปี จำเลยทั้งสี่มีนายจิรวัฒน์ สมุทรอัษฎงค์ เลขานุการของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯเบิกความเป็นพยานว่า การกำหนดค่าทดแทนที่ดินรวมทั้งค่าถมที่ดินไว้ด้วย ซึ่งนับว่ามีเหตุผลเพราะการประเมินราคาต้องเป็นไปตามสภาพที่ดินที่ปรากฎอยู่ในขณะที่มีการประเมินข้อนำสืบของจำเลยทั้งสี่มีน้ำหนักเหตุผลดีกว่าโจทก์ที่จะคิดเอาค่าทดแทนค่าถมดินปรับพื้นที่อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ที่ศาลล่างทั้งสองไม่กำหนดค่าตอบแทนส่วนนี้ให้จึงชอบแล้ว
สำหรับค่าทดแทนราคาไม้ยืนต้นนั้น โจทก์อ้างว่าโจทก์ควรได้รับค่าทดแทนส่วนนี้ประมาณ 150,000 บาท แต่โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสี่ว่า ราคาต้นไม้โจทก์เป็นผู้กำหนดเองและราคาที่กำหนดนี้อาจต่อรองกันได้ และเมื่อจำเลยที่ 1จ่ายค่าทดแทนให้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำต้นไม้ไปด้วย ยังคงเป็นของโจทก์อยู่ และนางมุกดา ทองแดง ภริยาโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสี่ว่า ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในที่ดินสามารถขุดขายได้ทุกต้น พยานและโจทก์รู้มาก่อนที่จะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 2 ปี เห็นว่า ราคาต้นไม้บางชนิดที่โจทก์เบิกความถึงเป็นราคาที่โจทก์ตั้งขึ้นเอง ยังสามารถลดราคาลงอีกได้ จึงไม่ใช่ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ ลักษณะที่โจทก์เรียกร้องค่าไม้ยืนต้นนั้นเป็นการคาดคะเนโดยรวมเอาเองทั้งสิ้นส่วนจำเลยทั้งสี่มีนายจริวัฒน์เป็นพยานเบิกความว่า กองส่งเสริมพืชพันธุ์ กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้กำหนดราคาให้ในวันที่พระราชกฤษฎีกาฯใช้บังคับ เห็นว่า ค่าทดแทนไม้ยืนต้นที่จำเลยที่ 1 กำหนดนั้น ได้ดำเนินการไปตามหลักเกณฑ์และระเบียบของทางราชการ ประกอบกับโจทก์มีเวลาถึง 2 ปี ที่จะขุดไม้ยืนต้นในบริเวณที่ดินที่ถูกเวนคืนออกขายได้ทุกต้น ดังนั้นเงินค่าทดแทนไม้ยืนต้นจำนวน 52,208 บาท ที่โจทก์ได้รับนั้นเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองไม่กำหนดค่าทดแทนส่วนนี้เพิ่มให้โจทก์อีกนั้นชอบแล้ว
สำหรับค่าทดแทนการออกจากที่ดินนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ทราบล่วงหน้าประมาณ 2 ปีแล้วว่าโจทก์จะต้องออกจากที่ดินที่ถูกเวนคืนดังนั้นโจทก์จึงมีโอกาสขนย้ายและขายต้นไม้ได้โดยไม่ต้องขาดรายได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่โจทก์เรียกค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายในการต้องออกจากที่ดินทำให้ขาดประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท เป็นเวลา 3 ปีนั้น จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง ที่ศาลล่างทั้งสองไม่กำหนดค่าทดแทนส่วนนี้ให้จึงชอบแล้วเช่นกัน
พิพากษายืน

Share