คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายเคยกอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราล. ภริยาจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้วจำเลยก็ไม่เอาเรื่องครั้นถูกจำเลยต่อว่าผู้ตายยังพูดสบประมาทจำเลยกับภริยาอีกวันเกิดเหตุผู้ตายมาพูดขอล. ไปเป็นภริยาจากฉ. และท. ซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายจำเลยการที่ผู้ตายจับแขนล.ดึงเข้ามาหาตัวแม้มิได้เจตนาจะทำร้ายก็ตามแต่ถือได้ว่ามีเจตนากระทำอนาจารล. เมื่อผู้ตายกระทำการละเมิดต่อกฎหมายและศีลธรรมอย่างร้ายแรงจำเลยย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำการป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงและเสรีภาพของล. ผู้เป็นภริยาของตนได้โดยชอบขณะเกิดเหตุจำเลยไม่มีอาวุธใดหากจำเลยจะเข้าช่วยเหลือล.ภริยาจองตนด้วยการเข้าทำร้ายผู้ตายด้วยมือเปล่าก็อาจถูกผู้ตายชักอาวุธปืนมายิงได้ในภาวะเช่นนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายแล้วยิงผู้ตายถ้าเพียงจะใช้อาวุธปืนตีผู้ตายปืนอาจลั่นไปถูกคนอื่นหรือผู้ตายอาจแย่งคืนมายิงเอาได้จำเลยแย่งอาวุธปืนได้ก็ยิงทันทีโดยไม่เลือกว่าจะถูกตรงไหนแล้วทิ้งอาวุธปืนวิ่งหนีการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายด้วยเหตุบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,33 ริบหน้าอัดกระสุนปืนและหมอนรองลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ให้จำคุก12 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ริบของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้เข้าแย่งอาวุธปืนจากเอวผู้ตายแล้วยิงผู้ตาย 1 นัด ถูกบริเวณกกหูซ้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีนางลำพูน นิลมากนายฉลวย และนางเทวี เมฆพายับ ภรรยา พ่อตาและแม่ยายจำเลยเบิกความเป็นพยานได้ความว่า ก่อนวันเกิดเหตุประมาณ3 ถึง 4 เดือนผู้ตายได้กอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเรานางลำพูนภรรยาของจำเลยหนึ่งครั้ง วันเกิดเหตุผู้ตายมาที่บ้านของนายฉลวยได้นั่งเจรจากับนายฉลวย และนางทวีภรรยาของนายฉลวยอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ผู้ตายพูดขอนางลำพูนภรรยาของจำเลยไปเป็นภรรยาของตนนายฉลวยกับนางทวีบอกว่าผู้ตายก็มีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว นางลำพูนก็มีสามีและบุตรจะมาขอไปเป็นภรรยาของผู้ตายได้อย่างไร ผู้ตายก็ยังพูดขอนางลำพูนกับนายฉลวยและนางทวีอยู่อีก และขณะนั้นจำเลยกับนางลำพูนได้ขับรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายกันมาที่บ้านนายฉลวยและนางทวีเพื่อนำนมมาส่งให้ลูกที่ฝากให้นางทวีแม่ยายช่วยเลี้ยง จำเลยพบผู้ตายจึงได้ต่อว่าผู้ตายว่า จำเลยไปทำอะไรให้ผู้ตายเจ็บซ้ำน้ำใจผู้ตายจึงไปปล้ำข่มขืนภรรยาจำเลย ผู้ตายพูดว่าเป็นเรื่องของผู้ตายภรรยาจำเลยผู้ตายจะอาเมื่อไรก็ได้ซึ่งขณะนั้นผู้ตายเอามือกุมอาวุธปืนที่เอวไว้ นางลำพูนได้พูดขึ้นว่าพูดอย่างนี้มันจะมากไปแล้ว และเดินผ่านผู้ตายซึ่งนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้านเพื่อเอาขวดนมไปส่งให้นางทวีผู้ตายได้จับแขนนางลำพูนดึงเข้ามาหาตัวจำเลยเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปแย่งเอาอาวุธปืนจากเอวของผู้ตายและยิงผู้ตาย 1 นัด แล้วหลบหนี ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานโจทก์ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ผู้ตายเคยกอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเรานางลำพูนภรรยาจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้วจำเลยก็ไม่เอาเรื่อง ครั้นถูกจำเลยต่อว่า ผู้ตายยังพูดสบประมาทจำเลยกับภรรยาอีก วันเกิดเหตุผู้ตายมาพูดขอนางลำพูนไปเป็นภรรยาจากนายฉลวยและนางทวีซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายจำเลย การที่ผู้ตายฉุดแขนนางลำพูนดึงเข้ามาหาตัวแม้จะมิได้มีเจตนาจะทำร้ายก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่ามีเจตนากระทำอนาจารต่อนายลำพูน เมื่อผู้ตายกระทำละเมิดต่อกฎหมายและศีลธรรมอย่างร้ายแรง จำเลยย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำการป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงและเสรีภาพของนางลำพูนผู้เป็นภรรยาของตนได้โดยชอบ ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่มีอาวุธใด หากจำเลยจะเข้าช่วยเหลือนางลำพูนภรรยาของตนด้วยการเข้าทำร้ายผู้ตายด้วยมือเปล่าก็อาจถูกผู้ตายชักอาวุธปืนออกมายิงได้ในภาวะเช่นนั้น จึงไม่มีทางเลือกนอกจากแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายแล้วยิงผู้ตาย ถ้าเพียงจะใช้อาวุธปืนตีผู้ตายปืนอาจลั่นไปถูกคนอื่น หรือผู้ตายอาจแย่งคืนมายิงเอาได้จำเลยแย่งอาวุธปืนได้ก็ยิงทันทีโดยไม่เลือกว่าจะถูกตรงไหนแล้วทิ้งอาวุธปืนวิ่งหนี การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายด้วยเหตุบันดาลโทสะ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share