คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ผู้จับกุมทั้งสามปากไม่เคยรู้จักจำเลยที่3มาก่อนไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าแสร้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่3ต่อสู้ว่าคำรับสารภาพชั้นจับกุมเกิดจากการข่มขู่ทำร้ายของเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีน้ำหนักเพราะหากมีการข่มขู่ทำร้ายจริงเจ้าพนักงานตำรวจก็น่าจะกระทำต่อจำเลยที่2ด้วยเพราะก็ถูกแจ้งข้อหาเดียวกันแต่จำเลยที่2ให้การปฏิเสธและที่อ้างว่าจำเลยที่2นำของกลางมาใส่กระเป๋าเสื้อของจำเลยที่3โดยจำเลยที่3ไม่รู้ว่าของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีนนั้นก็น่าจะให้การต่อผู้จับกุมแต่แรกที่มาให้การต่อสู้ต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความต่อศาลภายหลังโดยได้มีเวลาไตร่ตรองเป็นเวลานานหลังถูกจับเป็นข้อต่อสู้ที่ไร้น้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์จึงเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยที่3ร่วมกับจำเลยที่1และที่2กระทำความผิดตามคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106,106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 32, 33 และริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์และถุงพลาสติกของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิวรรคหนึ่ง, 62, 89, 106 ทวิ, 116 จำคุกคนละ 12 ปี จำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 6 ปีส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์และถุงพลาสติกของกลาง
จำเลย ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า มิได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องนั้น โจทก์มีร้อยตำรวจโทวิเชียร คงบำเพ็ญสิบตำรวจตรีสมชาย บุญวงศ์ สิบตำรวจตรีดำรงค์ชัย หงษ์สากลเบิกความยืนยันว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางคดีนี้ตรวจค้นได้จากกระเป๋าเสื้อจำเลยที่ 3 เมื่อแจ้งข้อหาว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้เพื่อขาย จำเลยที่ 1 และที่ 3ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 มาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าแสร้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 3 คดีฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางค้นได้จากกระเป๋าเสื้อจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมว่าร่วมกับพวกมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ไว้เพื่อขาย ที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่า คำรับสารภาพชั้นจับกุมเกิดจากการข่มขู่ทำร้ายของพนักงานตำรวจนั้นไม่มีน้ำหนัก เพราะหากมีการข่มขู่ ทำร้ายจริง พนักงานตำรวจก็น่าจะกระทำต่อจำเลยที่ 2 ด้วยเพราะจำเลยที่ 2 ก็ถูกแจ้งข้อหาเดียวกับจำเลยที่ 3 และที่ 1ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 นำของกลางมาใส่กระเป๋าเสื้อของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 ไม่รู้ว่าของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีนนั้น เห็นว่าหากเป็นจริง จำเลยที่ 3 น่าจะให้การต่อพนักงานตำรวจผู้จับกุมแต่แรกแล้วที่มาให้การต่อสู้ต่อพนักงานตำรวจผู้สอบสวนและเบิกความต่อศาลภายหลังโดยได้มีเวลาไตร่ตรองเป็นเวลานานหลังถูกจับ เป็นข้อต่อสู้ที่ไร้น้ำหนักรับฟังไม่ได้ ที่จำเลยที่ 3ต่อสู้ว่า พนักงานตำรวจตรวจค้นโดยอ้างว่าได้รับแจ้งจากสายลับแต่กลับไม่นำสายลับมาเบิกความนั้น เห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยที่ 3 ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางตลอดจนที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในทันทีที่ถูกจับเพียงพอที่จะฟังว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดตามคำฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share