คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ฟ้องจ. และป. ภรรยาเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาภายในระยะเวลา1ปีนับแต่บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จ. ให้การปฏิเสธและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนกรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฟ้องเอาคืนการครอบครองการที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจ. จำเลยในคดีก่อนในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดจำเลยย่อมไม่อาจยกการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างยันสิทธิครอบครองของโจทก์โจทก์จึงหาขาดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและไม่อาจฟ้องเรียกร้องเอาคืนไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2519 โจทก์ได้ซื้อที่ดิน 208 ไร่อยู่หมู่ที่ 2 ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี มาจากนายเทียบ หมื่นชำนาญ และนายสงัด สรรเสริญ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยปลูกพืชผลต้นไม้เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์รวม 5 ฉบับ ได้แก่ น.ส.3 เลขที่ 151 น.ส.3 ก. เลขที่ 1042ถึง 1044 ต่อมาปี 2527 โจทก์ซื้อที่ดินมือเปล่าทางทิศตะวันออกจากนายสงัดและนางละลอยลม เพิ่มอีก 93 ไร่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน2534 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 214 ถึง 216ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี อยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ โดยมีแนวโกรก (ทางน้ำไหล) และคันดินเป็นแนวแบ่งเขตการครอบครอง ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์เนื้อที่ 50 ไร่บริเวณพื้นที่ที่ระบายด้วยสีม่วงในแผนที่สังเขป เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ทำลายต้นไม้ และหลักหิน หลักไม้ซึ่งเป็นหลักเขตของที่ดินแล้วทำรั้วลวดหนามล้อมที่ดินที่บุกรุก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะต้องขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดิน โดยโจทก์กำลังดำเนินการจะปลูกต้นยูคาลิปตัสเป็นจำนวน 20,000ต้นเศษ ซึ่งจะมีรายได้จากการตัดต้นยูคาลิปตัสเป็นเงินไม่น้อยกว่าเดือนละ 50,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินในพื้นที่ที่ระบายด้วยสีม่วงในแผนที่สังเขป เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรีเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวรวมทั้งให้รื้อถอนรั้วออกจากที่ดินโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินจำเลยเป็นของนางปิติพร พิชัยวัฒนพงศ์ ต่อมาขายให้นายธำรงศักดิ์ เวทย์พิทยาคมและนายธำรงศักดิ์ ขายให้แก่จำเลย ได้ปลูกมันสำปะหลังบนที่ดินมาตลอด จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินห้าแปลง รวมเนื้อที่ที่ดินเพียง 207 ไร่ 2 งาน 82 ตารางวาแต่ในแผนที่สังเขปมีเนื้อที่ 229 ไร่ 3 งาน 1 ตารางวา แสดงว่าโจทก์จะเอาที่ดินทางด้านทิศเหนือเกิดจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งห้าฉบับโจทก์เป็นฝ่ายบุกรุกที่ดินจำเลยทางด้านทิศใต้ เมื่อปี 2531 โจทก์เคยฟ้องนายจิระวัฒน์ โกศล กับนางปิติพรภรรยาเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นฐานบุกรุก โดยอ้างว่าบุกรุกที่ดินพิพาท นายจิระวัฒน์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของตนและครอบครองโดยปลูกมันสำปะหลังมาตลอด ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แสดงว่า นายจิระวัฒน์ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2531 และส่งมอบการครอบครองต่อ ๆ มาจนถึงจำเลยไม่ขาดสาย โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตั้งแต่ปี 2531ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ยังไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ค่าเสียหายจึงยังไม่เกิด เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2534โจทก์นำหลักหินหลักไม้และป้ายมีข้อความว่า “สวนกัปตันจรูญ”มาปักในที่ดินพิพาทเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินจำเลย จำเลยนำที่ดินทั้งสามแปลงมาจัดทำสวนเกษตรแบ่งเป็นแปลงย่อยหลายแปลงแต่ไม่สามารถรังวัดแบ่งแยกที่ดินได้ เพราะโจทก์คัดค้านการรังวัดทำให้จำเลยขายที่ดินไม่ได้ จำเลยนำที่ดินไปจำนองบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเซีย จำกัด ในวงเงินไร่ละ 20,000 บาท เป็นเงิน5,120,000 บาท เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8 ต่อปี คิดเป็นค่าเสียหาย 720,000 บาท จำเลยขอคิดเพียง 700,000 บาทเป็นเวลา 1 ปี ขอให้พิพากษายกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินบางส่วนทางด้านทิศใต้ของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 214 ถึง 216 ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรีที่ปรากฏในแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ภายในเส้นสีม่วงเป็นของจำเลย ให้ขับไล่โจทก์และบริวารพร้อมทั้งให้รื้อถอนหลักหิน หลักไม้ป้ายชื่อ “สวนกัปตันจรูญ” และสิ่งก่อสร้างอื่นออกไปจากที่ดินจำเลย ให้โจทก์ชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยเป็นเงิน700,000 บาท และเป็นรายปี ๆ ละ 700,000 บาท นับแต่วันที่ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนหลักหิน หลักไม้ป้ายและสิ่งปลูกสร้างอื่นออกไปจากที่ดิน
โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า ที่ดินโจทก์เมื่อนำส่วนที่เป็นภูเขาเนื้อที่ 21 ไร่ 2 งาน 79 ตารางวา หักออกแล้วจะมีเนื้อที่ประมาณ208 ไร่ ตรงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งห้าฉบับทุกประการนางปิติพร นายธำรงศักดิ์และจำเลยมิได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทติดต่อกันตลอดมา นางปิติพรเคยร่วมกับนายจิระวัฒน์บุกรุกที่ดินพิพาทเมื่อปี 2531 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นฟ้องบุคคลทั้งสองต่อศาลชั้นต้นข้อหาบุกรุก คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หลังจากฟ้องแล้ว นายจิระวัฒน์และนางปิติพรไม่กล้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก ส่วนนายธำรงศักดิ์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท สำหรับจำเลยเพียงแต่ครอบครองพื้นที่บริเวณเหนือแนวโกรกและแนวคันดิน ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทคงมีแต่โจทก์ที่ครอบครองทำประโยชน์ด้วยการปลูกต้นไม้ ลงหลักหินหลักไม้แสดงอาณาเขตที่ดินและปักป้ายชื่อ “สวนกัปตันจรูญ”ในที่ดินพิพาท เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานับสิบปีจำเลยเพิ่งบุกรุกเข้ามาและล้อมรั้วบริเวณที่ดินพิพาทเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2534 ตอนที่โจทก์ยื่นฟ้องนายจิระวัฒน์และนางปิติพร เมื่อปี 2531 นั้น โจทก์มีคำขอส่วนแพ่งขอให้บังคับบุคคลทั้งสองมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทด้วย ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายในกำหนดอายุความแล้ว ประกอบกับเมื่อโจทก์ฟ้องคดีดังกล่าว บุคคลทั้งสองก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทอีก โจทก์ยังเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทต่อมา ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยฟ้องแย้งเรียกที่ดินพิพาทเมื่อเกินกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยถือว่าโจทก์แย่งการครอบครอง ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความแล้วที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธินำไปจัดสรรแบ่งขายแม้จำเลยจะขายไม่ได้ก็มิใช่ความผิดของโจทก์ ทั้งจำเลยรับโอนที่ดินโดยทราบถึงกรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับนางปิติพร แต่จำเลยยังรับโอนโดยยินยอมรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โจทก์หาจำต้องรับผิดชอบด้วยไม่ ยิ่งกว่านั้นที่ดินพิพาทมีลักษณะแบ่งแยกจากที่ดินส่วนอื่น จำเลยสามารถขายที่ดินส่วนอื่นได้ และหากขายได้จำเลยก็สามารถใช้หนี้จำนองได้ทั้งหมด โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งและบังคับตามฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทบริเวณเส้นสีม่วงในแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 2ตำบลอ่างหินอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เป็นของโจทก์ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดินโจทก์ยกฟ้องแย้ง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ได้สิทธิครอบครองตั้งแต่ซื้อตลอดมา
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าโจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้ฟ้องนายจิระวัฒน์และนางปิติพรภรรยาเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ นายจิระวัฒน์ให้การปฏิเสธและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน กรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฟ้องเอาคืนการครอบครอง การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยในคดีก่อนในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดจำเลยย่อมไม่อาจยกการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างยันสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงหาขาดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและไม่อาจฟ้องเรียกร้องเอาคืนดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาไม่
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประเด็นสุดท้ายว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท แม้จะปรากฏว่าเมื่อโจทก์ฟ้องคดีแล้วนายจิระวัฒน์และนางปิติพรได้ออกไปจากที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ไม่อาจเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์จะอ้างว่าความเสียหายของโจทก์ที่เตรียมซื้อกล้าไม้เกิดก่อนจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ย่อมฟังไม่ขึ้น สำหรับค่าเสียหายที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์นับว่าเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว
พิพากษายืน

Share