แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเป็นความผิดกระทงหนึ่งและเมื่อเสพก็เป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งส่วนกัญชานั้นเมื่อจำเลยมีไว้ในครอบครองก็เป็นความผิดกระทงหนึ่งและเมื่อเสพก็เป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งหาใช่เป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวไม่ คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 57, 67, 76, 91, 92, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และสั่งริบบ้องไม้ไผ่สำหรับสูบกัญชา
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 26 วรรคหนึ่ง,57, 67, 76, วรรคหนึ่ง, 91, 92 วรรคหนึ่ง ให้เรียงกระทงลงโทษฐานมีเฮโรอีนจำคุก 1 ปี ฐานมีกัญชาจำคุก 6 เดือน ฐานเสพเฮโรอีนจำคุก 1 ปี ฐานเสพเฮโรอีนจำคุก 1 ปี ฐานเสพกัญชาจำคุก 6 เดือนรวมโทษจำคุก 2 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว ไม่มีเหตุควรรอการลงโทษริบของกลาง
จำเลย อุทธรณ์ ขอให้ รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าการที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองกับเสพเฮโรอีน และการมีกัญชาไว้ในครอบครองกับเสพกัญชา ต่างเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงต้องลงโทษจำเลยฐานมีกับเสพเฮโรอีนอีกกระทงหนึ่งและฐานมีกับเสพกัญชาอีกกระทงหนึ่งเท่านั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 ได้บัญญัติห้ามมิให้มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คือเฮโรอีนไว้ในครอบครองในมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้มียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 คือกัญชาไว้ในครอบครองในมาตรา 26วรรคหนึ่ง และห้ามมิให้เสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และประเภท 5ไว้ในมาตรา 57 แสดงให้เห็นว่าบทกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดโทษไว้สำหรับความผิดแต่ละกรรมต่างกัน ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองก็เป็นความผิดกระทงหนึ่งและเมื่อจำเลยเสพเฮโรอีนก็เป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับกัญชาเมื่อจำเลยมีไว้ในครอบครองก็เป็นความผิดกระทงหนึ่งและเมื่อจำเลยเสพกัญชาก็เป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง การมีเฮโรอีนหรือกัญชาไว้ในครอบครองและเสพเฮโรอีนหรือกัญชาหาใช่เป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวดังที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ข้อเท็จจริงที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนและกัญชาอย่างละเล็กน้อยเพื่อเสพเท่านั้นเพราะจำเลยติดยาเสพติดให้โทษดังกล่าว การกระทำของจำเลยแม้กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด แต่โดยเนื้อแท้แล้วการกระทำของจำเลยเป็นไปในลักษณะของคนป่วยที่ต้องใช้ยาเสพติดให้โทษมาบำบัดอาการป่วยของตน ผลโดยตรงของการเสพยาเสพติดให้โทษเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้เสพเท่านั้น การลงโทษจำคุกน่าจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องเพราะไม่อาจทำให้จำเลยเลิกการเสพยาเสพติดให้โทษได้แต่คงต้องใช้วิธีการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษมากกว่าอันจะมีผลให้จำเลยเลิกเสพยาเสพติดให้โทษได้ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ตัวจำเลยสำหรับการดำรงชีวิตต่อไปในอนาคต จึงเห็นควรรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย แต่ให้คุมความประพฤติจำเลยเพื่อให้จำเลยได้ไปบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษโดยการควบคุมดูแลของพนักงานคุมประพฤติ”
พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 2 เดือนต่อ 1 ครั้งภายในกำหนดเวลา 2 ปี ห้ามมิให้จำเลยเสพหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภทรวมทั้งการคบหาสมาคมกับบุคคลที่เสพหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษและให้พนักงานคุมประพฤติดำเนินการให้จำเลยไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษในสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร โดยให้จำเลยนำผลการบำบัดรักษาจากสถานพยาบาลมาเสนอต่อพนักงานคุมประพฤติทุกครั้งที่ต้องมารายงานตัว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2