แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กิจการที่ล. ตัวแทนเชิดของจำเลยจ้างโจทก์ผลิตฟองน้ำวิทยาศาสตร์ให้จำเลยโดยใช้สัมภาระที่โจทก์จัดหาให้นั้นเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ลักษณะ7มิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใดการที่ล. เป็นตัวแทนจำเลยหรือไม่จึงไม่จำต้องมีหลักฐานที่ทำเป็นหนังสือมาแสดง โจทก์ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลยรับไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานๆใดมาสืบได้ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา85บัญญัติไว้เมื่อณและกพยานบุคคลของโจทก์เป็นผู้รู้เห็นในเรื่องที่โจทก์ได้ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลยตามที่ให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงย่อมไม่ต้องห้ามรับฟังทั้งปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีใบส่งของที่ผู้รับของลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารมาแสดงดังนั้นการสืบพยานบุคคลว่าจำเลยได้รับของตามใบส่งของดังกล่าวไว้ครบถ้วนแล้วโดยที่ใบส่งของดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อผู้รับของลงไว้ก็ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา94(ข) จำเลยต่อสู้คดีโดยไม่สุจริตการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง142(6)พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ15ต่อปีนับแต่วันฟ้องจึงเป็นการสมควรแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 930,161 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 836,100 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่เคยจ้างโจทก์ให้ผลิตฟองน้ำวิทยาศาสตร์ตามฟ้อง สัญญาจ้างตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม และจำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดกระทำการดังกล่าวแทนจำเลย บุคคลที่ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างมิใช่พนักงานของจำเลย ในสัญญาไม่มีตราสำคัญของจำเลยประทับสัญญาดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลย จำเลยไม่เคยได้รับสินค้าจากโจทก์แม้แต่รายการเดียว พนักงานของจำเลยไม่เคยลงลายมือชื่อรับใบเสร็จรับเงินของโจทก์ไว้จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจะคิดได้ก็เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องไม่ใช่นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2534 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 836,100 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15สิงหาคม 2534 ถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2535 และอัตราร้อยละ 15ต่อปี นับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2535 (วันฟ้อง) จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กิจการที่นางไลลาตัวแทนเชิดของจำเลยจ้างโจทก์ผลิตฟองน้ำวิทยาศาสตร์ให้จำเลยโดยใช้สัมภาระที่โจทก์จัดหาให้นั้นเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 7 มิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด การที่จะฟังว่านางไลลาเป็นตัวแทนจำเลยหรือไม่ จึงไม่จำต้องมีหลักฐานที่ทำเป็นหนังสือมาแสดง
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ 3 และที่ 4 นั้น สรุปได้ว่า จำเลยโต้เถียงว่าการที่ศาลอุทธรณ์ฟังคำเบิกความของพยานบุคคลของโจทก์ประกอบเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.38 ว่า โจทก์ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ให้แก่จำเลยรับไว้ครบถ้วนแล้วโดยที่ใบส่งของตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.38 ไม่มีลายมือชื่อของผู้รับของลงไว้ย่อมเป็นการรับฟังพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่สามารถจะฟังตามคำพยานบุคคลของโจทก์นั้นได้ เห็นว่า โจทก์ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4ให้แก่จำเลยรับไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่น อันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85บัญญัติไว้ เมื่อนายณรงค์และนายกิจจาพยานบุคคลของโจทก์เป็นผู้รู้เห็นในเรื่องที่โจทก์ได้ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลยที่โรงงานของจำเลยตามที่ให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ย่อมไม่ต้องห้ามรับฟัง ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีใบส่งของที่ผู้รับของลงลายมือชื่อผู้รับของลงไว้ ก็ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข) แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวจากพยานบุคคล จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยในข้อที่ 5 มีว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยหนี้เงินแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นการสมควรหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.44 ถึง จ.64 ให้แก่จำเลยแล้วเมื่อวันที่ 1กันยายน 2535 ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.68 ประกอบคำเบิกความของสิบตำรวจตรีบรรเจิด จาบกัน แต่จำเลยก็ยังแถลงคำคัดค้านการส่งอ้างเอกสารของโจทก์ดังกล่าวตามคำแถลงลงวันที่ 16พฤศจิกายน 2535 อีก เป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำสิบตำรวจตรีบรรเจิดมาเบิกความยืนยันการส่งสำเนาเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฎตามคำแถลงของโจทก์ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2535 ด้วยว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาเอกสารในวันที่ 1 กันยายน 2535ดังกล่าวได้พบนายกมลกรรมการบริษัทของจำเลยด้วยแต่นายกมลก็ไม่ยอมลงลายมือชื่อในการรับหมายและสำเนาเอกสาร โดยอ้างว่าผู้จัดการของจำเลยไม่ยอมให้รับเอกสารใด ๆ ทั้งสิ้น พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าจำเลยต่อสู้คดีโดยไม่สุจริต ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (6)พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องชำระหนี้เงินจึงเป็นการสมควรแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน