แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างส. ยังมีชีวิตได้ซื้อที่ดินจากจำเลยและว่าจ้างจำเลยสร้างตึกแถว6ห้องบนที่ดินเพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนส.ได้ชำระค่าที่ดินและค่าจ้างให้จำเลยครบถ้วนแล้วระหว่างรอโอนขายให้ลูกค้าโดยตรงส.ถึงแก่ความตายจำเลยโอนขายที่ดินและตึกแถว2ห้องให้แก่บุคคลภายนอกส่วนที่ดินและตึกแถวที่เหลือจำเลยกำลังจะขายให้โจทก์ผู้ร้องในฐานะเป็นภริยาและผู้จัดการมรดกของส. จึงยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดที่ดินและตึกแถวดังกล่าวไว้ชั่วคราวศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีระหว่างผู้ร้องดำเนินการบังคับคดีศาลชั้นต้นคดีนี้มีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดที่ดินและตึกแถวดังกล่าวและให้จดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ดังนี้ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้เพื่อขอให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมและเมื่อถึงวันนัดคู่ความทุกฝ่ายมาศาลศาลได้สอบถามและฟังคำแถลงของคู่ความทุกฝ่ายแล้วจึงมีคำสั่งถือว่าศาลได้ให้โอกาสโจทก์จำเลยโต้แย้งคัดค้านคำร้องของผู้ร้องแล้วเพราะโจทก์จำเลยสามารถแถลงคัดค้านคำร้องของผู้ร้องในระหว่างที่ศาลออกนั่งพิจารณาได้ คำสั่งอายัดชั่วคราวในคดีอื่นแม้จะสั่งโดยศาลชั้นต้นเดียวกันศาลชั้นต้นคดีนี้ก็มิอาจก้าวล่วงไปสั่งเพิกถอนเพราะทำให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นคดีนี้การที่ศาลชั้นต้นคดีนี้ทำการตรวจสอบและฟังคำแถลงของคู่ความทุกฝ่ายแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้เพิกถอนการอายัดชั่วคราวและมีคำสั่งใหม่เพื่อแก้ไขให้ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวกลับคืนสู่การอายัดชั่วคราวตามเดิมเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา27แล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่เหลือจำนวน 2,000,000 บาท จากโจทก์แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 661204, 61205, 61206ถนนชวนชื่น ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นพร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 6/4, 6/5, 6/6 ที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าวตามลำดับแก่โจทก์ หรือบุคคลใดที่โจทก์ประสงค์ หากจำเลยไม่อาจดำเนินการตามคำขอดังกล่าวได้ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 19,630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงว่าตกลงกันได้พร้อมเสนอสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือบุคคลใดที่โจทก์ประสงค์ให้เป็นผู้รับจดทะเบียนภายใน 7 วัน และให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหลืออีก 2,000,000 บาท แก่จำเลยในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างหากจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ที่ดินดังกล่าวถูกบุคคลผู้มีชื่ออายัดไว้จึงจดทะเบียนโอนตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาตามยอมศาลชั้นต้นมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการเพิกถอนอายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว แล้วให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือบุคคลใดที่โจทก์ประสงค์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 1017/2537 ของศาลชั้นต้น และได้ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดที่ดินไว้ชั่วคราวในระหว่างการพิจารณา ต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี แต่ผู้ร้องไม่สามารถบังคับคดีได้ เนื่องจากศาลชั้นต้นคดีนี้มีคำสั่งถอนอายัดที่ดิน จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้เพิกถอนการอายัดที่ดิน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตรวจสำนวนทั้งสองคดีแล้ว เห็นว่าคดีที่ผู้ร้องอ้างนั้นยังไม่ถึงที่สุด โดยอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ส่วนคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว และตามคดีที่ผู้ร้องอ้างนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ ก็ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินแทนกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง
ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ได้มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องไปนั้นได้สั่งไปโดยผิดหลง จึงให้เพิกถอนคำสั่งเดิม แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นให้รับคำร้อง นัดพร้อม หมายแจ้งวันนัดให้โจทก์ จำเลยและผู้ร้องทราบ และให้อายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 61204, 61205 และ 61206ถนนชวนชื่น ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นพร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 6/4, 6/5, 6/6 ที่ปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวตามลำดับไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นหมายแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ครั้นถึงวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นสอบถามทนายโจทก์ ทนายผู้ร้องและตัวจำเลยแล้วมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดไปโดยหลงผิด จึงให้เพิกถอนคำสั่งถอนอายัดโฉนดที่ดินดังกล่าวเสียโดยให้ใส่ชื่อจำเลย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว และยังคงถูกอายัดตามหมายห้ามชั่วคราวในคดีหมายเลขดำที่ 1264/2535
โจทก์ และ จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์และจำเลยฎีกาข้อแรกว่า คำร้องของผู้ร้องที่ยื่นเข้ามาในคดีไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 นั้น ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาและเป็นผู้จัดการมรดกของนายสุรพล หาญสกุลในระหว่างที่นายสุรพลมีชีวิต ได้ซื้อที่ดินจากจำเลยและว่าจ้างจำเลยให้สร้างตึกแถว 6 ห้อง ในที่ดินเพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนโดยทั่วไป นายสุรพลได้ชำระค่าซื้อที่ดินและค่าจ้างให้จำเลยครบถ้วนแล้ว ระหว่างรอการขายและโอนให้ลูกค้าโดยตรง นายสุรพลถึงแก่ความตาย ระหว่างนั้นจำเลยได้โอนขายที่ดินพร้อมตึกแถวให้บุคคลภายนอก 2 ห้อง ที่ดินพร้อมตึกแถวอีก 4 ห้องจำเลยกำลังจะขายให้โจทก์ ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุรพลได้อายัดที่ดินไว้ และยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1264/2535 และขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาอายัดที่ดินและตึกแถวไว้อีกชั้นหนึ่ง ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1017/2537 ให้ผู้ร้องชนะคดีและอยู่ระหว่างการบังคับคดีแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นนี้ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ทำให้จำเลยสามารถโอนที่ดินพร้อมตึกแถวให้แก่โจทก์ได้ ทำให้กองมรดกเสียหายผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลตรวจสอบสำนวน และมีคำสั่งให้ไต่สวนคู่ความทุกฝ่ายและมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้ถอนการอายัดที่ดินและตึกแถวดังกล่าวด้วย ดังนั้นผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจยื่นคำร้องเข้ามาในคดี เพื่อขอให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ได้ ซึ่งผู้ร้องก็ได้แสดงเหตุผลที่ขอเข้ามาในคดีให้ปรากฏชัดแจ้งแล้วว่า เรื่องราวทั้งหลายที่พิพาทกันอยู่ ยังมีผู้ร้องเกี่ยวข้องที่จะต้องพิจารณาด้วย จึงควรจะได้พิจารณาไปเสียในคราวเดียวกัน ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคแรก ก็ได้บัญญัติชัดเจนให้รวมถึงการบังคับคดี อันเป็นเรื่องภายหลังจากมีคำพิพากษาอยู่ด้วยผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องเช่นว่านั้นได้ ที่โจทก์และจำเลยฎีกาต่อไปว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในภายหลังให้รับคำร้องของผู้ร้องและนัดพร้อมไม่ได้เปิดโอกาสให้โจทก์และจำเลยคัดค้านคำร้องของผู้ร้องก่อน มีแต่เพียงคำสั่งให้นัดพร้อมและมีคำสั่งในวันนัด จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2) นั้นเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม และเมื่อถึงวันนัดก็ได้มีคู่ความทุกฝ่ายมาศาล ศาลได้สอบถามฟังคำแถลงทนายผู้ร้องทนายโจทก์และตัวจำเลย แล้วจึงมีคำสั่งเช่นนี้ ถือได้ว่าศาลได้ให้โอกาสโจทก์จำเลยโต้แย้งคัดค้านคำร้องแล้ว เพราะโจทก์จำเลยสามารถแถลงคัดค้านคำร้องของผู้ร้องในระหว่างที่ศาลออกนั่งพิจารณาคดีได้กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2) แต่อย่างใดที่โจทก์และจำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนคำสั่งเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27นั้น เห็นว่า เดิมศาลชั้นต้นได้อายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินไว้ ตามหมายห้ามชั่วคราวของคดีหมายเลขดำที่ 1264/2535และต่อมาศาลชั้นต้นคดีนี้ได้สั่งเพิกถอนคำสั่งอายัดในคดีดังกล่าวโดยผิดหลงเพราะคำสั่งอายัดตามหมายห้ามชั่วคราวนั้นเป็นคำสั่งในคดีอื่น แม้จะสั่งโดยศาลชั้นต้นศาลเดียวกันก็มิอาจก้าวล่วงไปสั่งในคดีอื่นได้เพราะทำให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนั้นเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นคดีนี้ได้ทำการตรวจสอบโดยฟังคำแถลงของทนายผู้ร้องทนายโจทก์ และตัวจำเลย แล้วมีคำสั่งว่าศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดไปโดยผิดหลง ให้เพิกถอนคำสั่งกับมีคำสั่งใหม่เพื่อแก้ไขให้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินกลับคืนสู่การถูกอายัดตามหมายห้ามชั่วคราวดังเดิมจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แล้ว
พิพากษายืน