คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3923/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา113บัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องกระทำการแทนเจ้าหนี้ได้เป็นกรณีพิเศษโดยไม่จำต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่อายุความที่ใช้บังคับจึงถือตามอายุความของเจ้าหนี้ผู้เกี่ยวข้องในขณะที่อาจจะบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้นั้นจริงๆเป็นเกณฑ์พิจารณาจะถือเอาวันที่ผู้ร้องได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนเป็นหลักในการเริ่มต้นนับอายุความไม่ได้เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลเมื่อพ้น1ปีนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร้องขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลได้รู้หรือควรจะรู้เหตุแห่งการเพิกถอนคำร้องของผู้ร้องจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา240ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา113

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่20 มกราคม 2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2529 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2530 ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10529, 10540, 10693, 16366, 16367, 16368และ 16369 ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1กับผู้คัดค้านที่ 2 และเพิกถอนการโอนโฉนดที่ดินเลขที่ 10540, 10693,16367, 16368 และ 16369 ระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 3 ระหว่างผู้คัดค้านที่ 3 กับผู้คัดค้านที่ 4 เพิกถอนสิทธิการเช่าที่ดินทั้งห้าโฉนดระหว่างผู้คัดค้านที่ 4 กับผู้คัดค้านที่ 5เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10529 และ 16366 ระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 6 และเพิกถอนการจดทะเบียนการจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10529 และ 16366 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 10540,16367 และ 16368 ระหว่างผู้คัดค้านที่ 6 กับผู้คัดค้านที่ 4 ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โดยให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านทั้งหกร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงินจำนวน 10,059,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องขอเพิกถอนการโอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 ยื่นคำคัดค้านในทำนองเดียวกันว่าทำนิติกรรม โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน มิได้ทำให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ โจทก์เจ้าหนี้อื่นและผู้ร้องรู้เหตุแห่งการเพิกถอนเกิน 1 ปีแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 3 ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการเดียวว่าการขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2583 มาตรา 113 เริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อไรผู้ร้องฎีกาว่าการนับอายุความใช้สิทธิเรียกร้องขอให้เพิกถอนเริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้ร้องทราบเหตุการโอนโดยฉ้อฉลภายใน 1 ปีซึ่งในคดีนี้ผู้ร้องทราบเหตุแห่งการโอนดังกล่าวเมื่อวันที่ 11มีนาคม 2531 และได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการโอนเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2531 ภายในกำหนด 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 นั้น เห็นว่า ธรรมดาบุคคลที่จะอ้างอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ได้ต้องเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่ในขณะที่ลูกหนี้กระทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินเท่านั้น ส่วนการที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 113 บัญญัติให้ผู้ร้องขอต่อศาลได้ เป็นเรื่องกฎหมายล้มละลายให้อำนาจให้แก่ผู้ร้องในอันที่จะกระทำแทนเจ้าหนี้ได้เป็นกรณีพิเศษ โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลในคดีล้มละลายไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่เท่านั้น ฉะนั้นอายุความที่จะใช้บังคับย่อมต้องถือเอาอายุความที่จะใช้บังคับย่อมต้องถือเอาอายุความของเจ้าหนี้ผู้เกี่ยวข้องในขณะที่อาจจะบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้นั้นจริง ๆ เป็นเกณฑ์พิจารณาจะถือเอาวันที่ผู้ร้องได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนเป็นหลักในการเริ่มต้นนับอายุความไม่ได้ดังนั้น เมื่อเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งร้องขอให้ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลที่ดินพิพาทได้รู้หรือควรจะรู้เหตุแห่งการเพิกถอนเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2527 ซึ่งนับถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วคำร้องของผู้ร้องจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 240 และพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นมานั้นชอบแล้วฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share