คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเป็นตัวแทนเชิดหาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนไม่แม้ส. ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าส. เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยก็อาจอ้างได้ว่าส.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวินิจฉัยว่าส. ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าส. เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่าส. เป็นตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นอีกจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกาและต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้วศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2533 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 4,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีกำหนดชำระเงินคืนภายใน 31 พฤษภาคม 2535 เมื่อถึงกำหนดชำระเงินคืนจำเลยไม่เคยชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ยืมถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 1,297 บาท รวมเป็นเงิน5,297 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 5,297 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้น 4,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมาไม่เคยผิดนัดต่อมาก่อนถึงกำหนดชำระเงินคืน โจทก์มอบหมายให้นางสมหมายหมั่นเขตรกิจ และนางเทื้อน หมั่นเขตรกิจ มาทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยจึงชำระเงินจำนวน 4,000 บาทให้แก่โจทก์โดยนางสมหมายเป็นผู้รับเงินแทนโจทก์ปรากฎตามสำเนาบันทึกการชำระหนี้เอกสารท้ายคำให้การ สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันเพราะจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 4,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน2533 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,297 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวินิจฉัยว่า นางสมหมายไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่านางสมหมายเป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่านางสมหมายเป็นตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ แม้นางสมหมายจะออกหลักฐานการชำระหนี้เงินกู้ก็ไม่ผูกพันโจทก์ ไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นอีกเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า จำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว โดยโจทก์ได้เชิดนางสมหมายให้รับชำระหนี้จากจำเลยแทนโจทก์ซึ่งการเป็นตัวแทนเชิดหาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนไม่ดังนั้น แม้นางสมหมายไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่านางสมหมายเป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยก็อาจอ้างได้ว่านางสมหมายเป็นตัวแทนเชิดของโจทก์รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่านางสมหมายได้รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์หรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 246 ซึ่งปัญหาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกา และคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้ว ศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องโดยยกปัญหาที่ว่านางสมหมายได้รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์หรือไม่ขึ้นวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยใหม่ได้ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เชื่อได้ว่าการชำระเงินตามบันทึกการชำระหนี้เป็นการชำระเงินที่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์ โดยโจทก์ได้เชิดให้นางสมหมายเป็นผู้รับชำระเงินแทนโจทก์ หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงระงับไปจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share