แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทางปรับอากาศพนักงานประจำรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้ใช้บริการรถดังกล่าวของจำเลยเป็นเหตุให้กระเป๋าสัมภาระของโจทก์ตกหายระหว่างทางทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในการที่ลูกจ้างกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยเป็นฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาว่าลูกจ้างของจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยถูกต้องสมบูรณ์แล้วแม้ไม่ได้ระบุข้อความว่าเป็นกระทำตามทางการที่จ้างของจำเลยไปด้วยก็ไม่เป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทางปรับอากาศรับส่งผู้โดยสารระหว่างอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลากับประเทศมาเลเซีย โดยใช้ชื่อว่า “นิวฮูเวอร์ทัวร์” เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2534 โจทก์ใช้บริการดังกล่าวของจำเลยเพื่อดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย และมอบกระเป๋าสัมภาระที่บรรจุสิ่งของเครื่องใช้เอกสาร และทรัพย์สินที่มีค่าของโจทก์รวมราคา 49,500 บาท ให้พนักงานประจำรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยเก็บไว้ในที่เก็บของใต้ท้องรถที่โจทก์โดยสารแต่ด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังของพนักงานประจำรถลูกจ้างของจำเลยมิได้จัดการดูแลปิดประตูที่เก็บของดังกล่าวให้สนิทก่อนรถเคลื่อนออก จนเป็นเหตุให้กระเป๋าสัมภาระของโจทก์ตกหายไปในระหว่างทางที่รถแล่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียทรัพย์สิน เอกสารต่าง ๆที่บรรจุในกระเป๋าสัมภาระรวมราคา 49,500 บาท และเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่าที่พัก ค่าอาหาร เพื่อดำเนินการจัดทำเอกสารต่าง ๆ ที่สูญหายขึ้นใหม่เป็นเงิน 23,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 72,500 บาท จำเลยในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในการที่ลูกจ้างกระทำละเมิดแก่โจทก์ด้วยขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า กิจการ “นิวฮุเวอร์ทัวร์” มิใช่ของจำเลยโจทก์มิใช่ผู้โดยสารที่เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียจึงไม่มีอำนาจฟ้องพนักงานประจำรถมิได้เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้าง ของจำเลย อีกทั้งไม่มีหน้าที่เก็บสัมภาระของผู้โดยสาร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 40,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ขาดข้อสาระสำคัญที่จะทำให้จำเลยร่วมรับผิดในผลอันเกิดแต่มูลละเมิดที่ลูกจ้างของจำเลยก่อให้เกิดขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าฟ้องของโจทก์ซึ่งบรรยายว่า จำเลยประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ ฯลฯ พนักงานประจำรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้ใช้บริการรถดังกล่าวของจำเลย เป็นเหตุให้กระเป๋าสัมภาระของโจทก์ตกหายระหว่างทางทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ฯลฯ จำเลยในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในการที่ลูกจ้างกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยเป็นฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาว่าลูกจ้างของจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยถูกต้องสมบูรณ์แล้วแม้ไม่ได้ระบุข้อความว่าเป็นการกระทำตามทางการที่จ้างของจำเลยลงไปด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องที่ขาดข้อความสาระสำคัญซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นอื่น ๆ ตามอุทธรณ์ของจำเลย อีกทั้งคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาในประเด็นอื่น ๆ ตามอุทธรณ์ของจำเลยต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิจารณาในประเด็นอื่น ๆ ตามอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี