คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5034/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้ของสัญญาเงินกู้มาจากการเล่นแชร์อันเป็นมูลหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายและบังคับกันได้และกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องมีการส่งมอบเงินให้แก่จำเลยอีกเพราะถือเสมียนหนึ่งว่าได้มีการส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยไปแล้วดังนั้นสัญญาเงินกู้จึงมีผลสมบูรณ์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าเล่นแชร์ที่โจทก์ในฐานะนายวงแชร์ได้ใช้เงินแทนให้จำเลยไปแล้วจำเลยจึงได้ทำสัญญาเงินกู้ให้ไว้แก่โจทก์นั้นเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้ของหนี้เงินกู้ตามฟ้องซึ่งโจทก์ชอบที่จะนำสืบได้มิใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 67,000 บาท กำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 12 ตุลาคม 2534 โดยไม่คิดดอกเบี้ย มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาค้ำประกันถึงกำหนดชำระหนี้แล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ทวงถามแล้วก็เพิกเฉยโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน67,000 บาท นับจากวันผิดนัดจนถึงฟ้องเป็นเงิน 349 บาท รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย 67,349 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 67,349 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 67,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ไม่เคยทำสัญญากู้ให้ไว้ โจทก์ไม่เคยส่งมอบเงิน 67,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โจทก์เป็นผู้กรอกรายการและช่องจำนวนเงินในสัญญากู้ที่นำมาฟ้องโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นยินยอม สัญญากู้จึงเป็นสัญญาปลอม จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน โจทก์เป็นผู้กรอกรายการและช่องจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันเองโดยจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมเช่นเดียวกันสัญญาค้ำประกันจึงเป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 67,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2534จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (แต่ดอกเบี้ยถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน2534 ซึ่งเป็นวันฟ้องให้ไม่เกิน 349) หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาแรกที่ว่า หนี้เงินกู้ตามฟ้องมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า สัญญากู้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีการส่งมอบเงินขณะทำสัญญา จะถือเอาการส่งมอบโดยปริยายไม่ได้ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เดิมจำเลยที่ 1 เล่นแชร์กับโจทก์โดยจำเลยที่ 1 เป็นลูกวง ส่วนโจทก์เป็นนายวงหลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้ประมูลแชร์ไปแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ส่งเงินให้โจทก์จึงต้องชดใช้แทนจำเลยที่ 1 ในฐานะนายวง จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.1ให้ไว้แก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 เช่นนี้เห็นว่า มูลหนี้ของสัญญาเงินกู้ตามฟ้องตามเอกสารหมาย จ.1 มาจากการเล่นแชร์ อันเป็นมูลหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายและบังคับกันได้ และกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องมีการส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1 อีก เพราะถือเสมือนหนึ่งว่าได้มีการส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1 ไปแล้ว ดังนั้นสัญญาเงินกู้ตามฟ้องตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมีผลสมบูรณ์และบังคับกันได้ตามกฎหมาย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงตามทางพิจารณานอกเหนือจากฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าเล่นแชร์ที่โจทก์ในฐานะนายวงแชร์ได้ใช้เงินแทนให้จำเลยที่ 1 ไปแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้ทำสัญญาเงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.1 ให้ไว้แก่โจทก์นั้น เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้ของหนี้เงินกู้ตามฟ้อง ซึ่งโจทก์ชอบที่จะนำสืบได้มิใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาแต่อย่างใดศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share