คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4808/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังจากจำเลยชกต่อยผู้ตายล้มลงที่พื้นแล้วจำเลยเข้าไปกระทืบที่ศีรษะและตามลำตัวผู้ตายอย่างรุนแรงและใช้มีดปาดคอผู้ตายด้วยเป็นเหตุให้ผู้ตายมีบาดแปลตามร่างกายหลายแห่งที่สำคัญคือม้ามซึ่งอยู่บริเวณช่องท้องแตกมีเลือดตกในช่องท้อง1,700ซี.ซี.และผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทืบผู้ตายที่บริเวณท้องซึ่งเป็นที่ตั้งอวัยวะสำคัญของร่างกายอย่างรุนแรงอีกทั้งขณะทำร้ายจำเลยก็พูดแสดงเจตนาว่าจะทำร้ายผู้ตายให้ตายในชั้นสอบสวนจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดีพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยฎีกาว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อนจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายนั้นคดีนี้จำเลยรับสารภาพและไม่ได้สืบพยานข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อนจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้นฎีกาของจำเลยข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195ประกอบด้วยมาตรา225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเตะ ชก ต่อย กระทืบ บริเวณร่างกาย ศีรษะลำตัว หน้าอก คอ ของนายสมชาย อย่างแรงหลายครั้งและยังใช้อาวุธมีดปาดที่บริเวณคอของนายสมชายอีกหลายครั้งโดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้นายสมชายตกเลือดในช่องท้องม้ามแตก ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 7 ปี 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันแล้วฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้อง นายสมชายธูปประสิทธิ์ผู้ตายถูกจำเลยทำร้ายร่างกายหลายแห่งจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายในวันเดียวกันคดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่โจทก์มีนางกัลยา ปรีชล ภรรยาผู้ตาย และนางอุดม จำรัสเป็นประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยทำร้ายผู้ตาย ตามคำเบิกความของพยานทั้งสองซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนจะเกิดเหตุผู้ตายไม่พอใจจำเลยที่ไปจับไหล่นางกัลยาที่ห้องเช่าของผู้ตาย และเป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายมีปากเสียงกันผู้ตายกับจำเลยได้ออกจากห้องผู้ตายไปทะเลาะกันที่ห้องเช่าจำเลยอีกต่อมานางกัลยาได้ยินจำเลยร้องว่า “เอามีดมาปาดคอกูทำไม” นางกัลยาเดินไปดูเห็นผู้ตายถือมีดทำครัว จึงขอมีดมาจากผู้ตาย เมื่อผู้ตายโยนมีให้นางกัลยาแล้วทั้งจำเลยและผู้ตายต่างเข้าชกต่อยกัน ระหว่างนั้นผู้ตายล้ม จำเลยชกที่ใบหน้าผู้ตาย 2-3 ที และกระทืบตามลำตัวและศีรษะผู้ตายอย่างรุนแรงหลายที พร้อมกับพูดว่า “เอาให้ตาย ใช้มีดปาดคอกู” นางกัลยาเข้าไปดึงตัวผู้ตายจะนำกลับห้องมีคนเข้าไปห้ามปรามจำเลยแต่จำเลยยังติดตามไปกระทืบผู้ตายซึ่งล้มอยู่ที่ลำตัวและศีรษะอีกหลายทีจนผู้ตายแน่นิ่งไป แล้วจำเลยยังเดินกลับเข้าไปในห้องถือมีดออกมาพูดว่า “ลองโดนปาดคอดูบ้าง” และใช้มีดปาดคอผู้ตาย 1 ที แม้นางอุดมกับนายจำปี เข้าห้ามจำเลยก็ยังไม่หยุดทำร้ายผู้ตายเช่นนี้ เห็นว่า ภายหลังจากจำเลยชกต่อยผู้ตายล้มลงที่พื้นแล้ว จำเลยเข้าไปกระทืบที่ศีรษะและตามลำตัวผู้ตายอย่างรุนแรง แม้จะมีคนหลายคนร้องห้าม แต่จำเลยยังคงกระทืบผู้ตายซ้ำบริเวณเดินอย่างรุนแรงอีกหลายที ผู้ตายมีบาดแผลตามร่างกายหลายแห่งมีบาดแผลที่สำคัญคือ ม้ามซึ่งอยู่บริเวณช่องท้องแตก มีเลือดตกในช่องท้อง 1,700 ซี.ซี. และผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทืบผู้ตายที่บริเวณท้องซึ่งเป็นที่ตั้งอวัยวะสำคัญของร่างกายอย่างรุนแรง อีกทั้งขณะทำร้ายจำเลยก็พูดแสดงเจตนาว่าจะทำร้ายผู้ตายให้ตาย นอกจากนั้นในชั้นสอบสวนจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 การกระทำของจำเลยที่ทำร้ายผู้ตายจึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายนั้น คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและไม่ได้สืบพยาน ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างอิงจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษายืน

Share