แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมแต่ยังไม่แจ้งย้ายเข้าที่ใดจึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ณที่ใดแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา41ที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมมีพฤติการณ์ส่อว่าจะหลบหนีหนี้จึงต้องถือว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเดิมตามฟ้องโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขารามอินทรา ลงวันที่ 15 สิงหาคม2535 จำนวนเงิน 63,216 บาท มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่17 สิงหาคม 2535 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามจำนวนในเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในระหว่างผิดนัด
ในวันที่โจทก์ยื่นคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับคำฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งใหม่ไม่รับคำฟ้องของโจทก์ โดยอ้างว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดมีนบุรีหรือไม่เห็นว่า ในการที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติไว้ในลักษณะ 2 หมวดที่ 1 เขตอำนาจศาล ให้พิจาณาถึงสภาพแห่งคำฟ้อง ชั้นของศาลอำนาจศาลและเขตศาล และตามบทบัญญัติของกฎหมายในหมวดดังกล่าวได้บัญญัติขั้นโดยมีเจตนารมณ์ที่จะให้ความสะดวกในการเสนอคำฟ้องแก่ผู้ที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาตั๋วเงิน ซึ่งตามสภาพแห่งคำฟ้องและคำขอบังคับท้ายฟ้องโจทก์นั้นบทบัญญัติในหมวดนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ยื่นต่อศาลใดโจทก์จึงต้องเสนอคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 ซึ่งบัญญัติว่า “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น(1) คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ (2) ฯลฯ” ข้อเท็จจริงปรากฎตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร สำนักงานทะเบียนกลางกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยแนบท้ายคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2536 ระบุว่า จำเลยแจ้งย้ายออกไปจากบ้านเลขที่ 516/4 หมู่ที่ 6 แขวงสายไหม เขตบางเขนกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของจำเลยตั้งแต่วันที่26 พฤษภาคม 2533 แต่จำเลยยังไม่ได้แจ้งย้ายเข้าที่ใด ในการเปลี่ยนภูมิลำเนานั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 41 บัญญัติว่า “ภูมิลำเนาย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาปรากฎชัดแจ้งว่าจะเปลี่ยนภูมิลำเนา” การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่บ้านเลขที่ 516/4 หมู่ที่ 6 แขวงสายไหมเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2533แต่ยังไม่แจ้งย้ายเข้าที่ใด จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใดแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ที่จำเลยแจ้งย้ายเข้าที่ใด จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมมีพฤติการณ์ส่อว่าจะหลบหนีหนี้จึงต้องถือว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 516/4 หมู่ที่ 6แขวงสายไหม ตามพ้องโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น(ศาลจังหวัดมีนบุรี) ซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป