คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3816/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ร่วมเมื่อโจทก์ร่วมมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีนับแต่เวลาที่จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองโจทก์ร่วมย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองสิทธิครอบครองของโจทก์ร่วมจึงสิ้นสุดลงดังนั้นเมื่อระยะเวลาตามที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกสิทธิครอบครองในที่ดินของโจทก์ร่วมได้สิ้นสุดลงแล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362,365

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่เท่าใดไม่ปรากฎชัด เดือนกุมภาพันธ์ 2533 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2534 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยกับพวกอีก 4 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันเข้าไปในที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนายวินิต มีกูลและนายจงทน เชื้อเจ่นผู้เสียหาย เพื่อยึดถือครอบครองที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวินิตหรือชนิด มีกุล และนายจงทนเชื้อเจ่นผู้เสียหายทั้งสองยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ร่วม ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความในเบื้องต้นว่าโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.6 ตามลำดับ จำเลยได้ครอบครองและปลูกสร้างบ้านเลขที่ 10/2 อยู่ในที่ดินของโจทก์ร่วมที่ 1 ดังกล่าวบางส่วนมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ปรากฎข้อความตามบันทึกการประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 2 สิงหาคม 2533 เอกสารหมายจ.10 ซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานเอกสาร มีใจความตามข้อ 2 ว่าจำเลยได้อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมที่ 1 มานานแล้ว และได้ความจากคำเบิกความของนายบุญลือหรือบุลากร จันทร์สุข ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลน้ำจืด อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นพยานคนกลางที่ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างอ้างและนำสืบเป็นพยานว่าพยานเป็นผู้ใหญ่บ้านในท้องที่ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ตั้งแต่ปี 2525 ตลอดมา จำเลยและนางหนูเสาภรรยาของจำเลยอาศัยทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาประมาณ 13 ปีแล้ว โดยปลูกไม้ผลต่าง ๆ ในปี 2528นางหนูเสาได้ติดต่อขอเลขบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาท พยานได้ออกเลขที่บ้าน 10/2 ให้ไป ปรากฎตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมายล.5 แสดงว่าจำเลยและนางหนูเสาเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2528 หรือก่อนปี 2528 การที่จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ตั้งแต่ปี 2528 หรือก่อนหน้านั้นอันเป็นการบุกรุกแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์ร่วมที่ 1 มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง โจทก์ร่วมที่ 1 ย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง สิทธิครอบครองของโจทก์ร่วมที่ 1 ย่อมสิ้นสุดลงดังนั้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2533 ถึงวันที่ 23 มกราคม 2534ซึ่งเป็นระยะเวลาที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกจึงเป็นขณะที่สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมที่ 1 ได้สิ้นสุดลงแล้วการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share