แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ขณะฟ้องโจทก์ได้เปลี่ยนชื่อจากบริษัทอ. เป็นบริษัทท. แล้วก็ตามแต่การที่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเปลี่ยนชื่อใหม่เช่นนั้นก็ไม่ทำให้ความเป็นนิติบุคคลของโจทก์สิ้นสุดลงโจทก์ยังคงเป็นนิติบุคคลมีตัวตนอยู่เช่นเดิมต่อไปและไม่ว่าโจทก์จะทำนิติกรรมในชื่อเดิมหรือชื่อที่เปลี่ยนใหม่แล้วก็ตามก็เป็นการทำนิติกรรมโดยนิติบุคคลคนเดียวกันนั้นเองการทำนิติกรรมในชื่อเดิมของโจทก์หลังจากที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วนั้นไม่มีผลให้เป็นการทำนิติกรรมโดยสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นนิติบุคคลดังนั้นแม้การมอบอำนาจให้ฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนโจทก์เป็นการมอบอำนาจภายหลังจากที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัทท. แล้วโจทก์ก็ยังมอบอำนาจในชื่อเดิมของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามกฎหมายของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในปี 2534 โจทก์จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อจากบริษัทอิแมจิเนียริ่ง ไมโคร ดิสตริบิวเตอร์ พีทีอีจำกัด เป็นบริษัทเท็ค แปซิฟิค (สิงคโปร์) พีทีอี จำกัด ในการติดต่อกับบุคคลผู้ซึ่งเคยติดต่อมาก่อนนั้น บางครั้งโจทก์ใช้ชื่อเดิมของโจทก์เพื่อความสะดวก โจทก์มอบอำนาจให้นายสัญญาผลประสิทธิ์ และ/หรือ นายประกิต ชาติสมบูรณ์ชัย ฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ประกอบธุรกิจขายชิ้นส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์แล้วค้างชำระค่าสินค้าโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 487,648.60ดอลลาร์สิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทย 7,261,087.65 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะฟ้องโจทก์มิได้เป็นนิติบุคคลและ/หรือมิได้มีตัวตนที่มีอำนาจกระทำการตามวัตถุประสงค์นายโก บุน ฮวดกับพวกร่วมกันทำหนังสือมอบอำนาจปลอมขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 481,146.31 ดอลลาร์สิงคโปร์แก่โจทก์ โดยให้คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่ศาลพิพากษา
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ ในปัญหานี้ ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องโดยบรรยายว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์มอบอำนาจให้นายสัญญา ผลประสิทธิ์ และ/หรือนายประกิต ชาติสมบูรณ์ชัยเป็นผู้รับมอบอำนาจเพื่อยื่นฟ้องและดำเนินคดีตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 โดยมีข้อความระบุในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวว่านายโก บุน ฮวด เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทอิแมจิเนียริ่ง ไมโคร ดิสตริบิวเตอร์ พีทีอี จำกัด ผู้มีอำนาจภายใต้ข้อบังคับของบริษัทอิแมจิเนียริ่ง ไมโคร ดิสตริบิวเตอร์พีทีอี จำกัด ที่จะลงนามและกระทำการในนามของบริษัทอิแมจิเนียริ่ง ไมโคร ดิสตริบิวเตอร์ พีทีเอ จำกัด จำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กล่าวคือหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะในขณะฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่ได้เป็นนิติบุคคล และ/หรือมิได้มีตัวตนที่มีอำนาจกระทำการตามวัตถุประสงค์ และนายโก บุน ฮวดกับพวก ได้ร่วมกันทำหนังสือมอบอำนาจปลอมขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ได้ความว่า โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อจากบริษัทอิแมจิเนียริ่งไมโคร ดิสตริบิวเตอร์ พีทีอี จำกัด เป็นบริษัทเท็ค แปซิฟิค (สิงคโปร์) พีทีอี จำกัด ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม2534 แล้วก็ตาม แต่การที่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเปลี่ยนชื่อใหม่เช่นนั้น ก็หาทำให้ความเป็นนิติบุคคลของโจทก์สิ้นสุดลงแต่อย่างใดไม่โจทก์ยังคงเป็นนิติบุคคลมีตัวตัวอยู่เช่นเดิมหรือไม่ และไม่ว่าโจทก์จะทำนิติกรรมในชื่อเดิมหรือชื่อที่เปลี่ยนใหม่แล้วก็ตามก็เป็นการทำนิติกรรมโดยนิติบุคคลคนเดียวกันนั้นเอง การทำนิติกรรมในชื่อเดิมของโจทก์หลังจากที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วนั้นหามีผลให้เป็นการทำนิติกรรมโดยสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น แม้การมอบอำนาจให้ฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนโจทก์เป็นการมอบอำนาจภายหลังจากที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัทเท็ค แปซิฟิค (สิงคโปร์) พีทีอี จำกัด แล้วโจทก์ก็ยังมอบอำนาจในชื่อเดิมของโจทก์ได้ และโดยที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยแต่อย่างใด ดังนั้นเพื่อให้การวินิจฉัยคดีนี้เป็นไปตามลำดับชั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี