คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8178/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนถึงวันที่จำเลยยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา307เป็นเวลาประมาณ8เดือนจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่อย่างใดและจำเลยยังไม่เคยติดต่อโจทก์เพื่อจะชำระหนี้ด้วยพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ขวนขวายที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากจำเลยประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จริงจำเลยก็สามารถจะระบุมาในคำร้องได้ว่าจำเลยมีรายได้จากกิจการดังกล่าวมากน้อยเพียงใดและจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ครบถ้วนเมื่อใดการที่จำเลยกล่าวในคำร้องลอยๆว่าจำเลยใช้ทรัพย์สินที่ถูกยึดประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โดยมิได้กล่าวถึงจำนวนรายได้และกำหนดเวลาที่จะชำระให้เสร็จสิ้นมาด้วยเช่นนี้จึงไม่มีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยจะมีรายได้จากการที่กล่าวแล้วพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังที่อ้างพฤติการณ์ของจำเลยน่าเชื่อว่าเป็นการประวิงคดีมิให้โจทก์ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในเวลาอันควรกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนเพื่อตั้งผู้จัดการประกอบกิจการพาณิชยกรรมแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา307และตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)ก็มิได้บังคับว่าศาลต้องทำการไต่สวนทุกกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอเข้ามาแต่ให้อำนาจศาลที่จะไต่สวนตามคำขอหรือไม่แล้วแต่ศาลพิจารณาเห็นสมควรศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนก่อนชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 2,705,659.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงิน 2,991,281.17 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์สินจำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมด้วยอุปกรณ์จนครบถ้วน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 515 ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้วจังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 138/13-14บนที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่จำนองไว้แก่โจทก์เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้นั้นจำเลยทั้งสองใช้เพื่อประกอบการพาณิชยกรรมตั้งเป็นร้านค้าส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งตั้งเป็นสมาคมชาวไร่สีคิ้วจำเลยทั้งสองมีรายได้ประจำปีจากการประกอบกิจการดังกล่าวเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ขอให้มีคำสั่งตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการของจำเลยทั้งสองแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน
วันนัดไต่สวนคำร้องจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นหนี้โจทก์ในยอดหนี้จำนวน 5,878,366.27 บาท จริง และยังไม่ได้ชำระศาลชั้นต้นสั่งงดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนถึงวันที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับนี้เป็นเวลาประมาณ 8 เดือน จำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ตามคำคัดค้านของโจทก์ก็ได้ความว่านอกจากจำเลยทั้งสองจะไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองยังไม่เคยติดต่อโจทก์เพื่อจะชำระหนี้แต่อย่างใดด้วยพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมิได้ขวนขวายที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อันสมควรที่จะไต่สวนหรือสอบถามจำเลยทั้งสองดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ประกอบกับตามคำร้อง ของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จริง จำเลยทั้งสองก็สามารถจะระบุมาในคำร้องได้ว่าจำเลยทั้งสองมีรายได้จากกิจการดังกล่าวมากน้อยเพียงใด และจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ครบถ้วนเมื่อใด การที่จำเลยทั้งสองกล่าวในคำร้องลอย ๆ ว่าจำเลยทั้งสองใช้ทรัพย์สินที่ถูกยึดประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โดยมิได้กล่าวถึงจำนวนรายได้และกำหนดเวลาที่จะชำระให้เสร็จสิ้นมาด้วยเช่นนี้จึงไม่มีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะมีรายได้จากการที่กล่าวแล้วพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังที่อ้าง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองน่าเชื่อว่าเป็นการประวิงคดีมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในเวลาอันควรกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนเพื่อตั้งผู้จัดการประกอบกิจการพาณิชยกรรมแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 และตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4)ก็มิได้บังคับว่าศาลต้องทำการไต่สวนทุกกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอเข้ามา แต่ให้อำนาจศาลที่จะไต่สวนคำขอหรือไม่ แล้วแต่ศาลพิจารณาเห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนก่อนชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share