แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอค่าเสียหายเดือนละ2,500บาทนับแต่วันฟ้องโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในค่าเสียหายในอนาคตนับแต่วันฟ้องอีกด้วยส่วนค่าเสียหายก่อนฟ้องนั้นโจทก์ไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระแต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบขอค่าเสียหายเดือนละ2,500บาทจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ได้เบิกความขอดอกเบี้ยในค่าเสียหายจึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเอาดอกเบี้ยในค่าเสียหายเป็นเดือนๆอีกที่ศาลอุทธรณ์กำหนดดอกเบี้ยให้โจทก์ได้รับอีกนั้นจึงไม่ชอบ โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเกิน200บาทแต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลอนาคต100บาทจึงให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน100บาทให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2518 โจทก์และจำเลยที่ 1ได้ร่วมกันทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6689 ตำบลคูคต(คลองหกวาสายล่างฝั่งเหนือ) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี(ธัญบุรี) เนื้อที่ 98 ตารางวา ราคา 53,900 บาท ของห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชเจริญจัดสรรที่ดิน ปี 2520 โจทก์สร้างบ้านเลขที่ 130/4 ปี 2521 จำเลยที่ 1 และที่ 2 สร้างบ้านเลขที่130/2 ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2522 จำเลยที่ 1 ได้ตกลงโอนขายสิทธิการเช่าซื้อที่ดินในส่วนของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ โจทก์รับโอนและชำระเงินให้จำเลยที่ 1 แล้ว โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชเจริญจัดสรรที่ดินตกลงด้วย แล้วโจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินเป็นโฉนดเลขที่ 27785 มีเนื้อที่ 49 ตารางวา ต่อมาโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนบ้านออกไป จึงเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ โจทก์คิดค่าเสียหายเดือนละ2,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินค่าเสียหายดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 130/4 (ที่ถูกบ้านเลขที่ 130/2) ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27785 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี(ธัญบุรี) ของโจทก์ ส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนบ้านดังกล่าวก็ให้โจทก์รื้อถอนบ้านได้ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อบ้านและส่งมอบที่ดินแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้โอนขายสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์แต่ประการใด และไม่เคยได้รับเงินจากโจทก์โจทก์จำเลยตกลงขอกู้ยืมเงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์มาชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์กู้และจำนองในนามของโจทก์เพียงผู้เดียวด้วยความไว้วางใจ โจทก์โดยทำบันทึกเป็นนิติกรรมอำพรางว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ยังได้ร่วมผ่อนชำระเงินกู้จนครบถ้วน แต่โจทก์ไม่ยอมจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มาทราบภายหลังว่าโจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 27785 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 27785เพียงผู้เดียว จำเลยทั้งสองได้อาศัยอยู่ในที่ดินและปลูกสร้างบ้านอาศัยโดยความสงบและเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านเลขที่ 130/2 ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองแล้วออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27785 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกาจังหวัดปทุมธานีของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนบ้านและส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,500 บาทแต่คำขอที่ว่าหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนบ้าน ให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนบ้านได้ โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายนั้นให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 27785 เป็นของจำเลยที่ 1 โจทก์ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทไม่ได้นั้น เห็นว่า ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 27785มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสองให้การและนำสืบถึงการได้มาซึ่งที่พิพาทว่า ก่อนที่โจทก์จะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชเจริญจัดสรรที่ดิน จำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ร่วมกันผ่อนชำระค่าเช่าซื้อได้ 8 งวด แล้วไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้ออีก ซึ่งตามสัญญาต้องผ่อนชำระ 60 งวด จำเลยที่ 1 จึงได้ทำบันทึกไว้ในสัญญาเช่าซื้อมีข้อความไว้ว่า จำเลยที่ 1 มีความประสงค์ที่จะโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อต่อจากจำเลยที่ 1ส่วนเรื่องการเงินนั้นจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกับโจทก์เรียบร้อยแล้วการที่จำเลยที่ 1 ได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้โอนขายสิทธิการเช่าซื้อที่พิพาทเพื่อสนับสนุนคำให้การหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตกอยู่แก่จำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 โอนขายสิทธิการเช่าซื้อที่พิพาทให้แก่โจทก์แล้ว อันเป็นการทำนิติกรรมโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพื่อจะก่อให้โจทก์มีสิทธิรับโอนสิทธิการเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 และการกระทำของจำเลยที่ 1 มีพยานรู้เห็นและลงลายมือชื่อเป็นพยานในการที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ย่อมเห็นชัดว่าเป็นการแสดงเจตนาเพื่อจะสร้างผลอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นในกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีเอกสารใด ๆที่จะอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานที่จะหักล้างข้อความตามที่ได้แสดงเจตนาไว้เพื่อแสดงว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินครบถ้วนแล้วจำเลยยังมีสิทธิในที่พิพาทด้วยนั้น ถ้ายอมให้จำเลยที่ 1เถียงได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนาออกมานั้น ความจริงจำเลยที่ 1ไม่ต้องการดังนั้น เจตนาในใจจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง หรือตกลงกันด้วยวาจากับโจทก์อีกอย่างหนึ่ง ก็จะเป็นช่องทางให้กล่าวอ้างกันได้ไม่รู้จักจบ เพราะเจตนาในใจจริง ใครจะไปรู้ได้ว่าเป็นอย่างไรทำให้เกิดความไม่ไว้ใจกันทั่วไปในกิจการทั้งปวง กฎหมายจึงได้บัญญัติไว้โดยเด็ดขาด ไม่ยอมให้เอาเจตนาในใจมาอ้าง ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า ได้ผ่อนชำระเงินร่วมกับโจทก์หลังจากโอนขายสิทธิการเช่าซื้อแล้วนั้น จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับว่า ใบเสร็จรับเงินคงมีแต่ชื่อโจทก์เท่านั้น หากจำเลยที่ 1 มีชื่อในใบเสร็จรับเงินด้วยหรือโจทก์ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมชำระเงินด้วยที่โจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินมาใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำนวน 49 ตารางวา เมื่อปี 2527 นั้น ถ้าจำเลยทั้งสองได้ร่วมชำระเงินให้โจทก์จริง ทั้งนี้โดยมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งมาแสดงย่อมจะทำให้คำพยานจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักรับฟังดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์แล้ว พยานจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักรับฟัง โจทก์ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้วฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องใช้แก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้สูงมากเกินไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาทนับแต่วันฟ้องโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในค่าเสียหายในอนาคตนับแต่วันฟ้องอีกด้วย ส่วนค่าเสียหายก่อนฟ้องนั้นโจทก์ไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระ แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบขอค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาท จนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ได้เบิกความขอ ดอกเบี้ย ในค่าเสียหายจึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเอาดอกเบี้ยในค่าเสียหายเป็นเดือน ๆ อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดดอกเบี้ยให้โจทก์ได้รับอีกนั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรจะแก้ไขให้ถูกต้อง
อนึ่ง โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเกิน 200 บาทแต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน 100 บาท ให้โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คืนเงินค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน 100 บาท แก่โจทก์