แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาว่าจะโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ภายในวันที่22สิงหาคม2534ซึ่งจำเลยทราบดีว่าการโอนสิทธิการเช่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเสียก่อนโดยต้องใช้เวลาในการยื่นเรื่องราวจนได้รับอนุมัติอย่างน้อย1เดือนแต่จำเลยมิได้ดำเนินการยื่นเรื่องราวขอโอนก่อนวันครบกำหนดที่จะต้องโอนตามสัญญาเดิมดังนั้นจะอ้างว่าโจทก์บ่ายเบี่ยงเรื่องค่าธรรมเนียมการต่ออายุสัญญาเช่าซึ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวต้องชำระในวันโอนหากไม่ยื่นเรื่องราวขอโอนเสียก่อนก็ไม่อาจอนุมัติให้โอนได้หากจำเลยขออนุมัติให้โอนไว้แล้วโจทก์ไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมจึงจะถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อจำเลยยังมิได้ยื่นเรื่องราวขอโอนไว้ก่อนจึงไม่มีเหตุที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะปฏิเสธแต่เมื่อโจทก์และจำเลยขอโอนสิทธิการเช่าในวันครบกำหนดโอนแล้วได้รับการปฏิเสธย่อมถือได้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ปฏิเสธการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวแก่โจทก์แล้วจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ สัญญาระบุว่าค่าต่อสัญญาเช่ากับค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิการเช่าผู้จะรับโอนเป็นผู้ชำระซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระเมื่อโจทก์เคยขอให้จำเลยร้องขอลดค่าธรรมเนียมการต่ออายุสัญญาเช่าจึงมีการรั้งรอที่จะยื่นเรื่องราวขอโอนสิทธิการเช่านั้นว่าโจทก์มีส่วนในความล่าช้าของการดำเนินการอยู่ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ซึ่งจำเลยเป็นผู้มีสิทธิการเช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยให้แก่โจทก์ โดยได้วางมัดจำให้จำเลยในวันทำสัญญาบางส่วน เงินส่วนที่เหลือตกลงชำระในวันโอนสิทธิการเช่า หากจำเลยไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าได้ จำเลยยินยอมคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับแก่โจทก์เมื่อถึงวันนัดโอนจำเลยผิดสัญญาขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากสัญญาระบุว่า ค่าต่อสัญญาเช่ากับค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิผู้จะรับโอนเป็นผู้ชำระโจทก์บ่ายเบี่ยงการรับโอนเรื่อยมาและในวันครบกำหนดจำเลยได้เตรียมเอกสารการโอนเพื่อดำเนินการโอนสิทธิตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ยอมรับโอนจำเลยไม่ได้ประพฤติผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 220,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยตกลงตามสัญญาจะต้องโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2534ซึ่งจำเลยทราบดีว่า การโอนสิทธิการเช่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเสียก่อนโดยใช้เวลาในการยื่นเรื่องราวจนได้รับอนุมัติอย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน แต่จำเลยมิได้ดำเนินการยื่นเรื่องราวขอโอนก่อนวันครบกำหนดที่จะต้องโอนตามสัญญา การจะอ้างว่าโจทก์บ่ายเบี่ยงเรื่องค่าธรรมเนียมการต่ออายุสัญญาเช่านั้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุสัญญาเช่าก็ต้องชำระในวันโอนหากไม่ยื่นเรื่องราวขอโอนเสียก่อนก็ไม่อาจอนุมัติให้โอนได้หลังจากจำเลยไปติดต่อที่การรถไฟแห่งประเทศไทยในวันที่3 เมษายน 2534 แล้วมีเวลาถึง 3 เดือนเศษ ที่จะดำเนินการได้แต่จำเลยมาทวงเตือนโจทก์ในเดือนสิงหาคม 2534 และไม่ดำเนินการใด ๆ เลยจนถึงวันครบกำหนดโอน ซึ่งหาก ขออนุมัติให้โอนไว้แล้วโจทก์ไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุสัญญาเช่าตามสัญญา จึงจะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่อ้างว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยยังไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องที่จำเลยจะโอนสิทธิการเช่าแก่โจทก์ จึงยังไม่เป็นการผิดสัญญาตามสัญญาข้อ 4 เมื่อจำเลยยังมิได้ยื่นเรื่องราวขอโอนไว้ก่อนจึงไม่มีเหตุที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะปฏิเสธ แต่เมื่อโจทก์และ จำเลยขอโอนสิทธิการเช่าต่อนายสถานีรถไฟนครปฐมในวันที่ครบกำหนดโอนแล้วได้รับการปฏิเสธไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้ในวันดังกล่าวได้ ย่อมถือได้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ปฏิเสธการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาชอบที่จะต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์ เห็นว่า ตามสัญญาระบุว่าค่าต่อสัญญาเช่ากับค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิการเช่าผู้จะรับโอนเป็นผู้ชำระซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระ โจทก์เคยขอให้จำเลยร้องขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมการต่ออายุสัญญาเช่า จึงมีการรั้งรอที่จะยื่นเรื่องราวขอโอนสิทธิการเช่า นับว่าโจทก์มีส่วนในความล่าช้าของการดำเนินการ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอให้ชำระเบี้ยปรับให้ยก