คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4827/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กรณีหญิงมีสามีฟ้องคดีโดยต้องมีหนังสือให้ความยินยอมของสามีก็เฉพาะการฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรสเท่านั้นแต่ถ้าเป็นสินส่วนตัวหญิงมีสามีย่อมมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยลำพังจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามีไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามีจึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยมิได้อ้างเหตุแห่งการณ์นี้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสกรณีก็ไม่ต้องปฏิบัติตามป.พ.พ.มาตรา1479โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเล่ห์ ผสมสา ขายที่พิพาทให้นายล้อม โจทก์ซื้อจากนายล้อมและได้ยึดถือครอบครองตลอดมา จำเลยเข้ามาปลูกบ้านและอยู่อาศัยในที่พิพาทโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจาก นายเล่ห์ ผสมสาบิดา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะรื้อถอน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และวินิจฉัยว่า”โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามีโจทก์จะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อนี้เห็นว่า กรณีที่หญิงมีสามีฟ้องคดีโดยต้องมีหนังสือให้ความยินยอมของสามีก็เฉพาะการฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรสเท่านั้น แต่ถ้าเป็นสินส่วนตัว หญิงมีสามีย่อมมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยลำพัง คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามีไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามีจึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยมิได้อ้างเหตุแห่งการนี้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส เมื่อจำเลยมิได้อ้างว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส กรณีก็ไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1479 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 600 บาท.

Share