คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2438/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้เสียหายเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อนวันเกิดเหตุจำเลยทำทีขอนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพลตำรวจส. เมื่อสบโอกาสจำเลยแย่งเอาอาวุธปืนของพลตำรวจส. แล้ววิ่งไปทางบ้านพักที่เกิดเหตุครั้นพบผู้เสียหายและอยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ2.50เมตรจำเลยชักอาวุธปืนออกยิงผู้เสียหายทันทีพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยได้ทะเลาะโต้เถียงกับผู้เสียหายหรือผู้เสียหายได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อจำเลยซึ่งมีลักษณะเป็นการข่มเหงการที่จำเลยและผู้เสียหายต่างเป็นภรรยาของสิบตำรวจโทพ. ไม่ว่าจำเลยจะเป็นภรรยามาก่อนหรือไม่ก็ตามจำเลยจะอ้างว่าตนถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่แต่การที่จำเลยเบิกความยอมรับว่าจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปในวันเกิดเหตุและกระสุนปืนของจำเลยได้ลั่นขึ้นนั้นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลถือเป็นเหตุบรรเทาโทษได้ตามป.อ.มาตรา78.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ของกรมตำรวจซึ่งจำเลยฉกฉวยไปจากการครอบครองของพลตำรวจสมศักดิ์ นิเงาะเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลคันนายาว ยิงทำร้ายร่างกายนางวันเพ็ญ เปลี่ยนกริม หลายนัดโดยเจตนาฆ่า และโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแต่ภาระกระทำไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนที่จำเลยยิงนั้นบางนัดด้านและบางนัดพลาดไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 289คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 วางโทษจำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นให้ยกและคืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ถึงแม้ตอนที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย โจทก์จะมีประจักษ์พยานปากเดียวคือผู้เสียหายโดยไม่มีพยานอื่นรู้เห็นอีกก็ตาม แต่ปรากฎว่าตอนเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันและเกิดเหตุในบริเวณบ้านพักของทางราชการตำรวจทั้งในวันเกิดเหตุนั้นผู้เสียหายมิได้ไประรานจำเลยโดยผู้เสียหายกำลังช่วยนางสาวเกษราภรณ์ ทับทิมทอง ทำการขนย้ายสิ่งของอยู่ที่ห้องพักของนางสาวเกษราภรณ์ จำเลยต่างหากเป็นฝ่ายไปหาผู้เสียหายฉะนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะระแวงว่าผู้เสียหายแกล้งกล่าวหาหรือปรักปรำจำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามข้อเท็จจริงซึ่งได้ความว่า เมื่อเกิดเหตุแล้วสิบตำควจโทไพรัช ได้ขอร้องผู้เสียหายมิให้เอาความกับจำเลยหลังจากสิบตำรวจโทไพรัชกับผู้เสียหายเจรจาตกลงกันได้สิบตำรวจโทไพโรจน์ โคตรโยธา พนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลคันนายาว โดยขอให้จดบันทึกข้อตกลงกันไว้และผู้เสียหายได้เล่าสาเหตุของข้อตกลงว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยเพราะได้ตกลงกับสิบตำรวจโทไพรัชแล้ว ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย มิฉะนั้น ไม่มีเหตุผลที่สิบตำรวจโทไพรัชจะร้องขอให้ผู้เสียหายระงับคดีโดยยอมปฎิบัติตามเงื่อนไขที่ผู้เสียหายเรียกร้อง หรือไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ผู้เสียหายจะกล่าวหาจำเลยต่อร้อยตำรวจตรีไพโรจน์ ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายก็มิได้ติดใจเอาความกับจำเลยอยู่ก่อนแล้ว อีกประการหนึ่งจำเลยเบิกความยอมรับอยู่แล้วว่าจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปในวันเกิดเหตุและกระสุนปืนของจำเลยลั่นขึ้นจริง ตามข้อเท็จจริงปรากฎว่ากระสุนปืนของจำเลยซึ่งลั่นขึ้นนั้นถูกขอบประตูห้องพักของนางสาวเกษราภรณ์สูงกว่าระดับพื้นห้องประมาณ 1 เมตร แสดงให้เห็นว่าเป็นกระสุนปืนซึ่งเกิดจากการยิง ข้อที่จำเลยนำสืบว่าขณะที่จำเลยขึ้นบันไดจำเลยเสียหลักกระสุนปืนของจำเลยลั่นขึ้นเองนั้น เห็นว่าจำเลยมิได้นำสืบให้ชัดแจ้งว่าจำเลยถือหรือพกพาอาวุธปืนไว้ในลักษณะใด กรณีที่กระสุนปืนลั่นขึ้นเอง กระสุนปืนจึงสามารถพุ่งไปถูกของประตูสูงกว่าระดับพื้นห้องประมาณ 1 เมตรได้ และตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.9 จำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้ว่ากระสุนปืนของจำเลยลั่นขึ้นเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ แต่กลับต่อสู้ว่าจำเลยมิได้มีอาวุธปืนติดตัวไปในวันเกิดเหตุ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มั่นคง รับฟังไม่ได้ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจริง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ตามข้อเท็จจริงซึ่งได้ความว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อน วันเกิดเหตุ จำเลยทำทีขอนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพลตำรวจสมศักดิ์ เมื่อสบโอกาสจำเลยแย่งเอาอาวุธปืนของพลตำรวจสมศักดิ์ แล้ววิ่งไปทางบ้านพักที่เกิดเหตุครั้นพบผู้เสียหายและอยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ 2.50 เมตรจำเลยชักอาวุธปืนออกยิงผู้เสียหายทันที พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ไม่มีเหตุที่จะฟังว่า จำเลยมีเจตนาเพียงยิงขู่ผู้เสียหาย การที่จำเลยยิงไม่ถูกผู้เสียหายนั้นเกิดจากความไม่ชำนาญในการใช้อาวุธปืนของจำเลย จะฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าหาได้ไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมนั้น
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยได้ทะเลาะโต้เถียงกับผู้เสียหายหรือผู้เสียหายได้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อจำเลยซึ่งมีลักษณะเป็นการข่มเหงการที่จำเลยและผู้เสียหายต่างเป็นภรรยาของสิบตำรวจโทไพรัช ไม่ว่าจำเลยจะเป็นภรรยามาก่อนหรือไม่ก็ตาม จำเลยจะอ้างว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่
ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยเบิกความยอมรับว่าจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปในวันเกิดเหตุ และกระสุนปืนของจำเลยได้ลั่นขึ้นนั้นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลถือเป็นเหตุบรรเทาโทษอย่างหนึ่งเห็นสมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.

Share