แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นพยานเบิกความในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องโจทก์ข้อหาหมิ่นประมาท ศาลชั้นต้นในคดีอาญาวินิจฉัยว่า เสียงที่จำเลยทั้งสองได้ยินและเข้าใจว่าเป็นเสียงโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว อาจเป็นเสียงของผู้อื่นก็เป็นได้ พยานหลักฐานเท่าที่นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาท ส. ตามฟ้องในคดีอาญาหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาดังกล่าว หาได้วินิจฉัยยืนยันว่า จำเลยทั้งสองนำข้อความอันเป็นเท็จไปบอกกล่าวแก่ ส. แต่อย่างใด เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่า ข้อความที่จำเลยทั้งสองนำไปบอกกล่าวแก่ ส. เป็นข้อความอันเป็นเท็จ หรือจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง หรือมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องถูกดำเนินคดีโดยไม่สุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยคงเรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ และเรียกจำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายสำนวนละ 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายทั้งสองสำนวนเป็นเงิน 15,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กันยายน 2545 อันเป็นวันละเมิดจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกาทั้งสองสำนวน โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า จำเลยทั้งสองได้กล่าวข้อความให้นายสนั่นฟังว่า จำเลยทั้งสองได้ยินโจทก์กล่าวดูหมิ่นนายสนั่นว่า “ไอ้หนั่น ไอ้ขี้โกง มึงใหญ่มาจากไหน มึงก็เป็นแค่ อบต. ไม่ใช่หรือ หน้ามึงหนาเหมือนส้นตีน” นายสนั่นจึงร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์ ทำให้โจทก์ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6395/2545 หมายเลขแดงที่ 1973/2548 ของศาลชั้นต้น โจทก์ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ จำเลยทั้งสองให้การว่าเป็นผู้นำข้อความตามฟ้องไปกล่าวให้นายสนั่นฟังจริง เพราะจำเลยทั้งสองได้ยินเสียงโจทก์กล่าวดูหมิ่นนายสนั่นเช่นนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายอันเกิดจากการละเมิดตามฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดและโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ส่วนจำเลยทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นละเมิด โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าที่จำเลยทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการละเมิดฟังไม่ขึ้นและโจทก์ได้รับความเสียหาย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นในคดีอาญาพิพากษายกฟ้องเพราะมีเหตุสงสัยในพยานที่นำสืบ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และจำเลยทั้งสองนำข้อความไปกล่าวแก่นายสนั่นโดยสุจริต การจ้างทนายความจึงไม่เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่โจทก์จะเรียกร้องจากจำเลยทั้งสองได้ และจำเลยทั้งสองกระทำโดยสุจริตจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงแก่โจทก์นั้น เห็นว่า กรณีที่จะเป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จะต้องได้ความว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาโจทก์โดยไม่สุจริตและไม่เป็นความจริง มุ่งต่อผลให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ คดีนี้โจทก์คงนำสืบแต่เพียงว่า การที่จำเลยทั้งสองนำข้อความไปบอกกล่าวแก่นายสนั่นว่าโจทก์กล่าวข้อความ อันเป็นการหมิ่นประมาทนายสนั่น เป็นผลให้โจทก์ต้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญา ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1973/2548 ของศาลชั้นต้นมาเป็นเหตุฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่าข้อความที่จำเลยทั้งสองนำไปบอกกล่าวแก่นายสนั่นเป็นความเท็จเท่านั้น โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองนำข้อความดังกล่าวไปบอกกล่าวแก่นายสนั่นทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริงหรือมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องถูกดำเนินคดีโดยไม่สุจริต โจทก์เพียงแต่อาศัยคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาที่ยกฟ้องโจทก์มาเป็นหลักฐานในการฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เท่านั้น ซึ่งตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นเพียงแต่เห็นว่าเสียงที่จำเลยทั้งสองได้ยินและเข้าใจว่าเป็นเสียงโจทก์คดีนี้กล่าวหมิ่นประมาทนายสนั่นผู้เสียหายนั้น อาจจะเป็นเสียงของผู้อื่นก็เป็นได้ พยานหลักฐานเท่าที่นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวได้กล่าวหมิ่นประมาทนายสนั่นตามฟ้องจริงหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ดังนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาดังกล่าว หาได้วินิจฉัยยืนยันว่าจำเลยทั้งสองนำข้อความอันเป็นเท็จไปบอกกล่าวแก่นายสนั่นแต่อย่างใด เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่า ข้อความที่จำเลยทั้งสองนำไปบอกกล่าวแก่นายสนั่นเป็นข้อความอันเป็นเท็จ หรือจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง หรือมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องถูกดำเนินคดีโดยไม่สุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ