คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776-794/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาตั้งแต่ปี 2478 ต่อมามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ฯลฯ พ.ศ.2487 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 กำหนดเขตหวงห้ามในที่ดินดังกล่าว โดยหวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งนิคมกสิกรตามพระราชบัญญัติจัด ที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2485 ซึ่งต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ใช้บังคับต่อกันมา หลังจากนั้นทางราชการได้ประกาศจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งสาน มีอาณาเขตคลุมถึงที่พิพาทด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ เห็นได้ว่าที่พิพาทมิใช่เป็นเพียงที่ดินรกร้างว่างเปล่าธรรมดา หากแต่เป็นที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ทางราชการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ตั้งแต่ปี 2487 ตลอดมาอีกด้วย แม้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 จะได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4(6) แต่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 10 ก็บัญญัติว่า ที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 หรือตามกฎหมายอื่นอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ให้คงเป็นที่หวงห้ามต่อไปดังนั้น แม้โจทก์จะได้เข้าครอบครองและทำกินในที่พิพาทมาตั้งแต่ปี 2507 จนบัดนี้ ก็เป็นการเข้ายึดถือที่ดินซึ่งทางราชการได้ประกาศหวงห้ามแล้วเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหากจะถือว่าโจทก์ได้สิทธิ ครอบครอง ก็ไม่อาจใช้สิทธิ+จำเลยซึ่งเป็นหน่วยราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้

ย่อยาว

คดีทั้ง ๑๙ สำนวนนี้ และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๙/๒๕๑๖ ของศาลชั้นต้นซึ่งไม่มีฎีกา ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสิบเก้าสำนวนฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นทำนองเดียวกันว่า โจทก์แต่ละสำนวนเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินคนละแปลง ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องแต่ละสำนวนต่อมาวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๔๖ ให้จัดตั้งนิคมสร้างตนเองขึ้นในที่ดินของรัฐ ในเขตท้องที่อำเภอพรหมพิราม และอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดจึงได้โอนการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งสานให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ แต่งตั้งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองทุ่งสานเพื่อดำเนินการจัดสรรที่ดินที่นิคมทุ่งสานต่อไป จำเลยที่ ๒ จึงอ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเข้าไปทำกินในที่ดินที่โจทก์เคยทำกินมาก่อน จำเลยที่ ๒ กับบริวารได้เข้าไปรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ กับนำที่ดินของโจทก์ไปจัดสรรให้แก่บุคคลอื่นซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยซึ่งห้ามโจทก์เข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ และจะนำที่ดินของโจทก์ไปจัดสรรแก่บุคคลอื่นซึ่งไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ห้ามจำเลยและบริวารมิให้มารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองทั้งสิบเก้าสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินตามที่กล่าวมาในฟ้อง และทางราชการก็ไม่เคยรับรองหรืออนุญาตให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการหวงห้ามตั้งแต่ปี ๒๔๗๔ ตลอดมาพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งยี่สิบสำนวน
โจทก์ทั้งยี่สิบสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสิบเก้าสำนวน เว้นแต่สำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๔๙/๒๕๑๖ ของศาลชั้นต้น ฎีกา
ในปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทแต่ละสำนวนหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยยอมรับฟังข้อเท็จจริงกันแล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาตั้งแต่ปี ๒๔๗๘ ต่อมาปี ๒๔๘๗ มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามในที่ดินดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.๒๔๗๘ คือ พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้อง ตำบลฆ้อง ตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ.๒๔๘๗ ซึ่งปัจจุบันหมายถึงเขตการปกครองท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้อง ตำบลวงฆ้อง ตำบลหอกลอง ตำบลทับยายเชียง อำเภอพรหมพิราม และตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท่างาม ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เป็นที่หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งนิคมกสิกร ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.๒๔๘๕ ซึ่งต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.๒๕๑๑ ใช้บังคับติดต่อกันมาหลังจากนั้นทางราชการได้ประกาศจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งสานในท้องที่อำเภอพรหมพิรามและ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีอาณาเขตที่ดินคลุมถึงที่พิพาทดังกล่าวด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๔๖ ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ จึงเห็นได้ว่าที่พิพาทมิใช่เป็นเพียงที่ดินรกร้างว่างเปล่าธรรมดา หากแต่เป็นที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ทางราชการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.๒๔๗๘ ตั้งแต่ปี ๒๔๘๗ ตลอดมาอีกด้วย แม้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.๒๔๗๘ จะได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๔(๖) แต่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๑๐ ก็บัญญัติว่า ที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.๒๔๗๘ หรือตามกฎหมายอื่นอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับให้คงเป็นที่หวงห้ามต่อไป ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จะฟังตามที่โจทก์แถลงว่าได้เข้าทำกินและครอบรองในที่พิพาทมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ จนบัดนี้ ก็เป็นการเข้ายึดถือที่ดินซึ่งทางราชการได้ประกาศหวงห้ามแล้ว เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หากจะถือว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองแต่ก็ไม่อาจใช้สิทธิยันจำเลยซึ่งเป็นหน่วยราชการของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้
พิพากษายืน

Share