คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41 วรรคสี่ บัญญัติไว้.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ ๑ และเรียกจำเลยสำนวนหลังว่าจำเลยที่ ๒
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ทั้งสองเช่านาจำเลยที่ ๒ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ขายนาให้จำเลยที่ ๑ โดยมิได้แจ้งเป็นหนังสือพร้อมราคาและวิธีการชำระเงินให้โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้เช่านาทราบ คณะกรรมการควบคุมการเช่านามีมติให้โจทก์ทั้งสองซื้อที่นาคืนตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาแต่จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมขาย โจทก์ทั้งสองเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ขายนาคืนโจทก์และให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายปีละ ๑๕,๒๐๐ บาท แก่โจทก์จนกว่าโจทก์ทั้งสองจะเข้าทำนาได้
จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ทั้งสองไม่เคยเช่านาจากจำเลยที่ ๒ แต่นายแคล้ว โกทันเป็นผู้เช่าจำเลยที่ ๒ แจ้งให้นายแคล้วซื้อก่อนแล้วแต่นายแคล้วไม่ซื้อขอยกให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ขายนาพิพาทให้โจทก์ทั้งสองและให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงินปีละ๖,๐๐๐ บาทจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะได้เข้าทำนา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าสำนวนคดีหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ เพราะจำเลยที่ ๒ ขายนาที่โจทก์ทั้งสองเช่าแก่จำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเข้าทำนาในนานั้นไม่ได้อีกคิดเป็นเงินปีละ ๑๕,๒๐๐ บาท ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ ๒ ในมูลละเมิดมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๔ จำเลยที่ ๒ ได้อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้งสองมิใช่ผู้เช่านาพิพาทจึงไม่มีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนและไม่ได้รับความเสียหายซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๒ คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรกซึ่งมีปัญหาว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ ๒ หรือไม่เท่านั้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ ๒ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเมื่อจำเลยที่ ๒ ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ ๑ โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา๔๑ วรรคแรกบังคับไว้โจทก์ทั้งสองก็มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ ๑ ได้ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ ๒ ได้ขายให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามที่มาตรา ๔๑ วรรคสี่บัญญัติไว้
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในสำนวนคดีหลังและยกฎีกาของจำเลยที่ ๒ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share