คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2791-2792/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นิติบุคคลที่จะเป็นตัวแทนฟ้องความแทนผู้อื่นตามที่ได้รับมอบอำนาจไม่จำต้องมีวัตถุประสงค์เป็นตัวแทนฟ้องความอีกต่างหากถ้าเรื่องที่เป็นความอยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 263/2503)
หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่ศาลแห่งเมืองนั้นโดยมีสถานกงสุลไทยรับรองมาอีกชั้นหนึ่งว่าตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจเป็นตราที่ถูกต้องของศาลชั้นสูงใบมอบอำนาจนี้ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์และจำเลยมีเจตนาจะให้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาซื้อขายเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตามมาตรา 387 แต่เมื่อจำเลยมิได้บอกเลิกสัญญากลับขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาถือว่าจำเลยและโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญต่อไปต่อมาจำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ทันทีไม่ได้ต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาก่อนเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ชี้ช่องให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยได้ทำสัญญากันเสร็จจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามที่จำเลยกับโจทก์ที่ 2 ได้ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องคำนึงว่าคู่สัญญาจะได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นในเวลาต่อไปหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอเนียประเทศสหรัฐอเมริกา จำเลยได้ทำสัญญาขายถั่วเขียวกับโจทก์ที่ ๒ตัวแทนของโจทก์ที่ ๑ เพื่อส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อถึงกำหนดเวลาที่จำเลยต้องส่งถั่วเขียวงวดแรกแก่โจทก์ที่ ๑ จำเลยหาปฏิบัติตามสัญญาไม่ อ้างว่าถั่วเขียวราคาสูงขึ้นและขอร้องตัวแทนโจทก์ที่ ๑ เพื่อขอเลิกสัญญา ตัวแทนโจทก์ที่ ๑ ยอมผ่อนผันให้จำเลยส่งถั่วเขียวงวดที่ ๒ ก่อน จำเลยได้จัดส่งถั่วเขียวงวดที่ ๒ แก่โจทก์ที่ ๑ ตามสัญญา ส่วนถั่วเขียวงวดแรกจำเลยไม่ยอมส่งให้การผิดสัญญาของจำเลยทำให้โจทก์ที่ ๑ เสียหาย เพราะต้องซื้อสินค้าจากบุคคลอื่นสูงขึ้น โจทก์ที่ ๑ ขอคิดค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยสำหรับโจทก์ที่ ๒ นั้น โจทก์ที่ ๒ และจำเลยได้ตกลงกันโดยธรรมเนียมประเพณีการค้าว่า เมื่อโจทก์ที่ ๒ หาผู้ซื้อในต่างประเทศได้แล้ว จำเลยจะต้องจ่ายค่านายหน้าให้ร้อยละสองของราคาสินค้าที่ซื้อขายกันเมื่อจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์ที่ ๑ ทำให้โจทก์ที่ ๒ เสียประโยชน์ที่ควรได้ร้อยละสองของราคาถั่วเขียวงวดแรก ขอศาลพิพากษาและบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ที่ ๑ มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ ๒ ฟ้องคดีนี้ การฟ้องคดีนี้เป็นกิจการนอกวัตถุประสงค์ทางการค้าของโจทก์ที่ ๑และการรับมอบอำนาจฟ้องคดีนี้เป็นกิจการนอกวัตถุประสงค์ทางการค้าของผู้รับมอบอำนาจเช่นกัน จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ความจริงแล้วโจทก์ที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะการซื้อขายครั้งนี้โจทก์ที่ ๑ ต้องจัดหาเรือมารับสินค้างวดแรกภายในกำหนดระยะเวลาซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของการซื้อขายเนื่องจากราคาและจำนวนสินค้าในท้องตลาดไม่แน่นอน เมื่อโจทก์ที่ ๑ ไม่จัดการหาเรือมารับสินค้างวดแรกภายในกำหนดอันเป็นการผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญทำให้จำเลยเสียหายจำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์ที่ ๑ เมื่อโจทก์ที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้ ราคาสินค้ามิได้สูงขึ้นดังที่โจทก์อ้าง จำเลยไม่เคยตกลงจะจ่ายค่านายหน้าแก่โจทก์ที่ ๒ อย่างไรก็ดีเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาและจำเลยได้บอกเลิกสัญญาแล้วทั้งไม่มีการชำระเงินค่าสินค้ากันแต่อย่างใด โจทก์ที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่านายหน้าขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนคดีสำหรับโจทก์ที่ ๒ วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ ๒ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายมิได้ฟ้องบังคับจำเลยในเรื่องผิดสัญญานายหน้าโดยตรงข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา เมื่อจำเลยยังไม่ส่งสินค้างวดแรกแก่โจทก์ โจทก์ที่ ๒ ก็ยังไม่เสียหายอันจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑ มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑พร้อมด้วยดอกเบี้ยโจทก์ที่ ๒ เป็นนายหน้าชี้ช่องให้โจทก์ที่ ๑ และจำเลยได้ทำสัญญากัน จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้โจทก์ที่ ๒ ในอัตราร้อยละสองของราคาซื้อขายถั่วเขียวพร้อมด้วยดอกเบี้ย พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๑ และใช้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๒
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า นิติบุคคลที่จะเป็นตัวแทนฟ้องความแทนผู้อื่นนั้น ไม่จำต้องมีวัตถุประสงค์เป็นตัวแทนฟ้องความอีกต่างหาก หากเรื่องที่เป็นความนั้นอยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้นนิติบุคคลนั้นก็ย่อมเป็นตัวแทนฟ้องความตามที่ได้รับมอบอำนาจได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๓/๒๕๐๓ บริษัทฟาร์มเวิร์กเฮิกซ์ โจทก์ บริษัทยูไนเต็ดเซ้าท์เอเซีย จำกัด จำเลยการที่โจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากกิจการที่อยู่ในวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๒ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ ๑ ให้โจทก์ที่ ๒ ดำเนินคดีทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่แขวงและเจ้าหน้าที่ศาลแห่งเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอเนีย โดยมีสถานกงสุลไทยประจำเมืองลอสแอนเจลิสรับรองมาอีกชั้นหนึ่งว่า ตราที่ได้ประทับลงในหนังสือมอบอำนาจนั้นเป็นตราที่ถูกต้องของศาลชั้นสูงของรัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้ในเมืองลอสแอนเจลิสใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศดังกล่าวแล้ว จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
วัตถุประสงค์แห่งสัญญาซื้อขาย โจทก์ที่ ๑ และจำเลยมีเจตนาจะให้เป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๘ เมื่อโจทก์ที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่จัดหาเรือมารับสินค้าตามกำหนด จำเลยก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาทั้งหมดเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้โจทก์ที่ ๑ ทราบตามมาตรา ๓๘๗ ก่อนแต่การที่จำเลยยอมส่งมอบถั่วเขียวงวดที่ ๒ ให้โจทก์ที่ ๑ ไปทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอาจจะไม่ได้รับเงิน แสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยไม่ถือว่าโจทก์ที่ ๑ ผิดสัญญา และโจทก์ที่ ๑ ก็ได้ต่ออายุเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยต่อไป ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยและโจทก์ที่ ๑ มิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาซื้อขายเดิมเป็นสาระสำคัญต่อไปจำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ทันทีไม่ได้ หากต้องปฏิบัติตามมาตรา ๓๘๗ โดยต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกล่าวให้โจทก์ที่ ๑ จัดหาเรือมารับถั่วเขียวงวดแรกก่อน ต่อเมื่อโจทก์ที่ ๑ ไม่จัดหาเรือมารับถั่วเขียวภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงจะเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญาในอันที่จะต้องส่งมอบถั่วเขียวให้แก่โจทก์อีก เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบโดยไม่ยอมรับการขยายอายุเลตเตอร์ออฟเครดิตออกไป จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๑ แต่อย่างไรก็ดี โจทก์ที่ ๑ ก็มีส่วนทำให้จำเลยผิดสัญญาและก่อให้เกิดความเสียหายด้วยโดยไม่จัดหาเรือไปรับถั่วเขียวตามที่ตกลงกันไว้สมควรให้จำเลยรับผิด ๓ ใน ๔ ส่วน
โจทก์ที่ ๒ ได้บรรยายฟ้องตอนแรกว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายถั่วเขียวให้โจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ที่ ๑ แล้วผิดสัญญา แล้วบรรยายฟ้องต่อไปว่า ทำให้โจทก์ที่ ๒ ได้รับความเสียหาย กล่าวคือ โจทก์ที่ ๒ และจำเลยได้ตกลงกันโดยธรรมเนียมประเพณีการค้าว่า เมื่อโจทก์ที่ ๒ หาผู้ซื้อในต่างประเทศได้แล้ว จำเลยจะต้องจ่ายค่านายหน้าให้โจทก์ร้อยละสองของราคาสินค้าที่ซื้อขายกัน เหตุนี้โจทก์ต้องเสียผลประโยชน์ที่ควรได้รับไปร้อยละสองเห็นว่าฟ้องของโจทก์ที่ ๒ ได้เรียกร้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญานายหน้าแล้ว เมื่อโจทก์ที่ ๒ ได้ชี้ช่องให้โจทก์ที่ ๑ และจำเลยได้ทำสัญญากันสำเร็จแล้วจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ ๒ โดยไม่ต้องคำนึงว่าคู่สัญญาจะได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นในเวลาต่อไปหรือไม่ และที่จำเลยฎีกาว่าเป็นที่เข้าใจระหว่างโจทก์ที่ ๒ และจำเลยว่า โจทก์ที่ ๒ จะได้รับเงินค่านายหน้าต่อเมื่อโจทก์ที่ ๑ ได้ชำระค่าสินค้าแล้วนั้น เห็นว่า แม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว แต่กรณีนี้ได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ส่งมอบถั่วเขียวให้โจทก์ที่ ๑ จำเลยจะยกข้อตกลงดังกล่าวมาอ้างให้พ้นผิดหาได้ไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวน ๓ ใน ๔ ของจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share