แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาที่ทำขึ้นใหม่เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเข้าเป็นต้นเงินนั้น เป็นกรณีย์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 655 วรรคต้น ไม่ใช่สัญญาแปลงหนี้
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาใหม่ ยกดอกเบี้ยที่ติดค้างมารวมกับต้นเงินเป็นหนี้จำนวน 160 บาท โดยเอาส่วนให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย และมีข้อสัญญาว่า ถ้าโจทก์ไม่ชำระเงิน 160 บาท แก่จำเลยภายในกำหนด 1 ปี โจทก์ยอมโอนสวนรายพิพาทให้แก่จำเลย เมื่อปรากฏว่า ดอกเบี้ยที่เอามารวมในสัญญา ผิด พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา 2475 สัญญาตกเป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนได้ ในเมื่อจำเลยครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำหนังสือกู้ยืมเงินจำเลย และมอบสวนทุเรียนให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย โจทก์ได้ไปขอชำระหนี้แก่จำเลย ๆ ไม่ยินยอม จึงฟ้องขอให้จำเลยรับเงินและคืนสวนทุเรียน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ยอมให้สวนพิพาทเป็นของจำเลย ๆ เข้าครอบครองปลูกต้นผลไม้เพิ่มเติม โจทก์+ไม่มีสิทธิจะเอาคืน ขอให้บังคับโจทก์โอนขายสวนพิพาทให้แก่จำเลยตามสัญญา
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กู้เงินจำเลย ๔๐ บาท ทำสัญญาให้ดอกเบี้ยเดือนละ ๒ บาท ดอกเบี้ยค้างเป็นเงิน ๑๑๐ บาท จึงได้ตกลงทำสัญญาใหม่รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑๖๐ บาท เอาส่วนรายพิพาทกให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ถ้าพ้นกำหนด ๑ ปี ไม่ชำระหนี้ โจทก์ยอมโอนสวนรายพิพาทให้จำเลยถือสิทธิเด็ดขาดไม่เอาเงินขึ้น และเมื่อโอนสวนรายพิพาทแล้ว ก็หมดหนี้สินกัน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาฉะบับหลังเป็นสัญญารับสภาพหนี้ แม้ดอกเบี้ยมารวมจะผิดกฎหมาย หากจะถือว่าใช้ไม่ได้ แต่เข้าลักษณะสัญญาจะซื้อขายตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๕๖ เป็นนิติกรรมที่ใช้ได้ตามมาตรา ๑๓๖ มีผลผูกพันโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์โอนขายสวนที่พิพาทให้แก่จำเลยในราคา ๑๖๐ บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาฉะบับหลังเป็นสัญญาแปลงหนี้ โดยยกเอาดอกเบี้ยที่ติดค้างในสัญญาเดิมมารวมกับต้นเงินเป็นหนี้ขึ้นใหม่ และดอกเบี้ยเดือนละ ๒ บาทนั้น ผิด พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ๒๔๗๕ สัญญานี้จึงตกเป็นโมฆะ สัญญาจึงไม่ผูกมัดโจทก์ให้ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์คงต้องรับผิดตามสัญญาส่วนที่แยกออกไปฉะเพาะ แต่ส่วนที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย สัญญาฉะบับหลังจึงเป็นสัญญายืม มอบที่ดินให้เก็บกินต่างดอกเบี้ย โจทก์มีสิทธิได้คืน จำเลยมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ถึงเวลาทำสัญญาใหม่ พิพากษาให้จำเลยรับชำระหนี้และคืนสวนรายพิพาทให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาที่ทำใหม่เอาดอกเบี้ยรวมเข้าเป็นเงินต้นนั้น เป็นกรณีตาม ป.พ.พ.มาตรา ๖๕๕ วรรคต้น ไม่ใช่สัญญาแปลงหนี้ สัญญามีใจความว่า โจทก์ยอมโอนสวนตีใช้หนี้จำเลยซึ่งเป็นหนี้อยู่ ๑๖๐ บาท แต่หนี้ ๑๖๐ บาท มีทั้งส่วนผิดกฎหมายและถูกกฎหมายระคนปนกันอยู่ ดั่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญานี้ตกเป็นโมฆะ จำเลยยังให้การต่อสู้ว่า โจทก์ยอมให้สวนเป็นกรรมสิทธิแก่จำเลยแล้ว จึงเท่ากับว่า การโอนชำระหนี้ได้ กระทำกันเสร็จไปแล้ว นับตั้งแต่ครบกำหนดตามสัญญาฉะบับหลังจนถึงวันโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่ถึง ๑๐ ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิในที่สวนรายพิพาทนี้
พิพากษายืน