แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 16 ปีเศษ และกำลังศึกษาอยู่ในวิทยาลัยการอาชีพรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสี่มาก่อน ได้เบิกความถึงพฤติการณ์ ขณะที่ถูกจำเลยทั้งสี่กับพวกข่มขืนกระทำชำเราเป็นขั้นตอนมีรายละเอียดสอดคล้องสมจริงยากแก่การที่จะปรุงแต่งขึ้น หากมิได้เกิดขึ้นจริงย่อมเป็นการผิดวิสัยที่หญิงสาวจะปั้นแต่งเรื่องที่ตนถูกชายหลายคนข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนอย่างร้ายแรงขึ้นมาปรักปรำจำเลยทั้งสี่ ทั้งขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากเทียนไขและไฟแช็กที่พวกจำเลยจุดและผู้เสียหายเห็นจำเลยทั้งสี่ในระยะใกล้ ในวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ระบุชื่อจำเลยทั้งสี่กับพวก จึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความตามความจริงประกอบกับจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ก็รับว่าวันเกิดเหตุไปที่สถานที่เกิดเหตุจริง โดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ได้ยินเพื่อนที่ร่วมดื่มเบียร์ในกลุ่มพูดว่าจะเอาผู้หญิงสองคนจากนั้นเพื่อนคนที่พูดก็ฉุดผู้เสียหายเข้าไปในขนำส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งฉุดนางสาว ส. ไปข้างภูเขา ส่วนที่จำเลยที่ 3อ้างว่าไม่ได้ไปในที่เกิดเหตุนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักแน่นแฟ้นรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แม้แพทย์จะตรวจผู้เสียหายไม่พบรอยบาดแผลใดภายนอก และตรวจภายในพบเยื่อพรหมจารีฉีกขาดเก่าไม่พบบาดแผลใหม่ใด ๆ ตรวจหาเชื้ออสุจิและแอซิดฟอสฟาเตสไม่พบและไม่พบร่องรอยของการร่วมประเวณี แต่ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยร่วมประเวณีกับแฟนมาก่อน ทั้งผู้เสียหายได้อาบน้ำชำระร่างกายก่อนไปให้แพทย์ตรวจซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุแล้ว 1 วัน แพทย์เองก็ให้ความเห็นว่า หญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราและตรวจไม่พบเชื้ออสุจิมิได้หมายความว่าไม่ถูกกระทำชำเราซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ หากเยื่อพรหมจารีฉีกขาดเก่าก็อาจเป็นไปได้ว่าไม่สามารถที่จะตรวจพบหาร่องรอยข่มขืนกระทำชำเราภายในได้ดังนั้น แม้แพทย์จะตรวจไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีก็ไม่ถึงกับทำให้พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายไม่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กตามเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 104(2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯนั้น ต้องไม่เกินกว่าที่เด็กหรือเยาวชนมีอายุครบยี่สิบปีสี่ปีบริบูรณ์เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งตามวรรคสุดท้ายของมาตรา 104 ซึ่งจะต้องระบุให้ชัดเจนไว้ในคำพิพากษาด้วยว่าเมื่อจำเลยมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์แล้วให้ส่งตัวไปจำคุกไว้ในเรือนจำตามเวลาที่ศาลกำหนดแต่เมื่อคำนวณระยะเวลาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวสั่งให้นำตัวจำเลยทั้งสี่ไปฝึกและอบรมขั้นสูง 4 ปีจึงเกินกว่าจำเลยทั้งสี่มีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ คำพิพากษาดังกล่าวจึงขัดต่อบทบัญญัติข้างต้น ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้เข้าด้วยกันโดยให้เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนคดีแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ตามลำดับ เรียกจำเลยในสำนวนคดีหลังว่า จำเลยที่ 4
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2540เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสี่กับพวกอีกหลายคนซึ่งเป็นผู้ใหญ่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาว ภ. อายุ 16 ปีเศษ ผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยทั้งสี่กับพวก โดยจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายตบตีและช่วยกันจับตัวผู้เสียหายไว้จนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เหตุเกิดที่ตำบลเขาขาว อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรังต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 และวันที่ 8 ธันวาคม 2540 เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้ตามลำดับ วันที่ 12 พฤษภาคม 2541จำเลยที่ 4 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1และที่ 3 อายุ 16 ปีเศษ จำเลยที่ 2 และที่ 4 อายุ 17 ปีเศษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276 วรรคสอง ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 36/2541ของศาลชั้นต้นและให้นับโทษของจำเลยที่ 4 ต่อเข้ากับโทษของจำเลยที่ 4ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 193/2541 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 83 จำเลยที่ 1 และที่ 3 อายุไม่เกิน 17 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75จำคุก 7 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 4 อายุเกิน 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 คงจำคุก 10 ปี แต่เห็นว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดไปเพราะดื่มของมึนเมาและประกอบกับอยู่ในวัยคึกคะนอง ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีมีน้อยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ เห็นสมควรเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยทั้งสี่ไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลามีกำหนดเวลาขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง4 ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2)(ที่ถูกประกอบด้วยมาตรา 105) ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4ต่อจากโทษในคดีอื่นนั้น เมื่อศาลไม่ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาว ภ. ผู้เสียหาย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ โจทก์มีนางสาว ภ. ผู้เสียหายเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ20 นาฬิกา นายสุชานนท์และจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปที่ขนำใกล้กับภูเขาและจอดรถจักรยานยนต์ที่ริมถนนหน้าขนำ ผู้เสียหายเห็นนายแมน นายบอล จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับนายสุวิทย์และเพื่อน ภายในขนำจุดเทียนไขและมีคนหลายคนดื่มเบียร์อยู่ ขณะที่ผู้เสียหายอยู่หน้าขนำได้สักพัก นางสาว ส. นั่งรถจักรยานยนต์มากับนายบัง ส่วนนายวิโรจน์ขับรถจักรยานยนต์ติดตามมา นางสาว ส. เดินร้องไห้เข้ามาหาผู้เสียหายและเล่าให้ฟังว่าถูกนายวิโรจน์ลวนลาม นางสาว ส. ขอร้องให้นายสุชานนท์ไปส่งที่หอพัก ส่วนผู้เสียหายขอให้จำเลยที่ 2 ไปส่งที่หอพักเช่นกัน แต่จำเลยที่ 3 บอกว่าจำเลยที่ 2 หลับแล้ว นายสุชานนท์ได้พานางสาว ส. ไปที่บริเวณถนนข้างขนำ ผู้เสียหายรู้สึกว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดี จึงวิ่งหนี นายแมนมาจับตัวผู้เสียหายไว้ ผู้เสียหายขัดขืนนายแมนตบหน้าผู้เสียหาย 3 ที ผู้เสียหายร้องขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย แต่จำเลยที่ 1 บอกว่านี่ไงกำลังช่วยโดยจำเลยที่ 1ถอดเข็มขัดกางเกงของตนเอง นายทิพยรัตน์ผลักผู้เสียหายนอนลงที่พื้นถนนและถอดกางเกงผู้เสียหายออกจนเปลือยและนำผู้เสียหายไปในขนำ ผู้เสียหายขัดขืนนายทิพย์รัตน์บอกว่าหากขัดขืนจะทำร้าย ผู้เสียหายรู้สึกกลัวจึงเข้าไปในขนำด้วย นายทิพย์รัตน์บอกให้ยินยอมนายทิพย์รัตน์คนเดียวและจะไม่ให้ใครมายุ่งอีก ผู้เสียหายกลัวจึงจำยอมให้นายทิพย์รัตน์ข่มขืนกระทำชำเราเพราะไม่อยากให้ใครมาข่มขืนผู้เสียหายอีก เมื่อนายทิพย์รัตน์ข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วได้ลุกขึ้นแต่งตัวและผลักผู้เสียหายให้นอนลงต่อมานายแมนได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อ ผู้เสียหายขัดขืนโดยผลักตัวนายแมนแต่สู้แรงนายแมนไม่ไหว ระหว่างนั้นจำเลยที่ 4 นุ่งกางเกงในตัวเดียวมุงดูอยู่ หลังจากนายแมนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้วจำเลยที่ 2 เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อ เสร็จแล้วนายวิชิตเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 สวมแต่กางเกงในมาลูบคลำหน้าอกผู้เสียหาย ระหว่างที่ผู้เสียหายถูกนายวิชิตข่มขืนกระทำชำเรานั้นมีเสียงนอกขนำว่านางสาว ส. หนีไปแล้ว เมื่อนายวิชิตข่มขืนกระทำชำเราเสร็จ นายพรชัยได้เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้วนายวิชัยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนเสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้วจำเลยที่ 3 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนเสร็จ ต่อมาจำเลยที่ 4 ได้ถอดกางเกงในจนเปลือยทำท่าจะเข้ามาทับบนตัวผู้เสียหายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา แต่นายบอลเข้ามาพูดขอร้องจำเลยที่ 4 และคนอื่น ๆว่า อย่าทำต่อไปอีกเลย นายบอลพาผู้เสียหายออกไปจากขนำ นำกางเกงให้ผู้เสียหายใส่แล้วพานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปบ้านของนายบอลรุ่งขึ้นผู้เสียหายไปที่หอพักเพ็ญศิริและได้ทะเลาะกับนางสาว ส. โดยผู้เสียหายเข้าใจว่านางสาว ส. เป็นผู้วางแผนให้พวกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแต่นางสาว ส. บอกว่าตนก็ถูกข่มขืนกระทำชำเราเช่นกันที่บริเวณข้างขนำ ต่อมานายพากย์ แสงเงิน ผู้ใหญ่บ้านได้พาผู้เสียหายและนางสาว ส. ไปแจ้งความเจ้าพนักงานตำรวจได้ส่งตัวผู้เสียหายและนางสาว ส. ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลห้วยยอด ผู้เสียหายรู้จักจำเลยทั้งสี่และผู้ต้องหาที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเพราะเป็นเพื่อนร่วมวิทยาลัยการอาชีพห้วยยอดด้วยกัน ขณะเกิดเหตุภายในขนำมีแสงสว่างจากเทียนไข และมีไฟแช็กที่พวกจำเลยได้จุดระหว่างที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและนางสาว ส. เบิกความสนับสนุนว่าวันเกิดเหตุ ก่อนที่พยานจะถูกจับตัวไปด้านหลังกระท่อมพยานเห็นผู้เสียหายถูกนายแมนและพวกอีกหลายคนจับมือ และพยานก็ถูกพวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราที่ข้างขนำ ในวันรุ่งขึ้นพยานโต้เถียงกับผู้เสียหายจึงทราบว่าพยานและผู้เสียหายถูกพวกจำเลยหลอกไปข่มขืนกระทำชำเราทั้งสองคนและโจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกเชื้อชาติเยาดำ พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานว่าวันที่ 26 พฤศจิกายน2540 เวลาประมาณ 11 นาฬิกา ผู้เสียหายและนางสาว ส. มาแจ้งว่าถูกจำเลยที่ 1 กับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและนางสาว ส.เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปีเศษ และกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ในวิทยาลัยการอาชีพห้วยยอด รู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสี่ ผู้เสียหายเบิกความถึงพฤติการณ์ขณะที่ถูกจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเป็นขั้นตอนมีรายละเอียดสอดคล้องกันสมจริงยากแก่การที่จะปรุงแต่งขึ้น หากมิได้เกิดขึ้นจริง ทั้งเป็นการผิดปกติวิสัยที่หญิงสาวจะปั้นแต่งเรื่องที่ตนถูกชายจำนวนหลายคนข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนอย่างร้ายแรงขึ้นมาปรักปรำจำเลยทั้งสี่ จึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความตามความจริง ผู้เสียหายรู้จักจำเลยทั้งสี่ ขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากเทียนไขและไฟแช็กที่พวกจำเลยจุด และผู้เสียหายเห็นจำเลยทั้งสี่ในระยะใกล้ ในวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้เสียหายแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ระบุชื่อจำเลยทั้งสี่และพวก นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางสาว ส. และนายพากย์มาเบิกความสนับสนุนว่าในวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายได้บอกคนทั้งสองว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราทั้งในทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ก็เบิกความยอมรับว่าวันเกิดเหตุได้ไปสถานที่เกิดเหตุจริง โดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ยังรับว่ามีคนที่ร่วมดื่มเบียร์พูดว่าจะเอาผู้หญิงทั้งสองคนแล้วฉุดผู้เสียหายเข้าไปในขนำและฉุดนางสาว ส. ไปที่บริเวณข้างขนำ และมีคนตะโกนว่าตำรวจมาแล้วคนจำนวนมากวิ่งหลบหนี ต่อมาทราบว่าบุคคลที่เดินมาเป็นคนหาปลาไม่ใช่ตำรวจซึ่งเจือสมกับพยานโจทก์พยานโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามฟ้องจริง แม้ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ซึ่งศาลชั้นต้นเรียกมาจากโจทก์นั้น ปรากฏว่าตามรายงานของแพทย์ดังกล่าวตรวจภายนอกไม่พบรอยบาดแผลใด ๆตรวจภายในเยื่อพรหมจารีฉีกขาดเก่าไม่พบบาดแผลใหม่ใด ๆ ตรวจเชื้ออสุจิและแอซิดฟอสฟาเตสไม่พบร่องรอยของการร่วมประเวณีก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย ล.1 ว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยร่วมประเวณีกับแฟนมาก่อน เมื่อเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายฉีกขาดมาก่อนและเคยร่วมประเวณีมาก่อนแพทย์ตรวจร่างกายผู้เสียหายหลังเกิดเหตุ 1 วัน ผู้เสียหายได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อนไปให้แพทย์ตรวจ ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายตามเอกสารหมายเลข 2 ท้ายฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ว่าผู้หญิงถูกข่มขืนกระทำชำเราและตรวจไม่พบเชื้ออสุจิไม่ได้หมายความว่า ไม่ถูกข่มขืนกระทำชำเราขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ…หากเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายฉีกขาดเก่าก็อาจเป็นไปได้ว่าไม่สามารถที่จะตรวจพบหาร่องรอยข่มขืนกระทำชำเราภายในได้ ดังนั้น แม้ตามรายงานของแพทย์ดังกล่าวจะตรวจไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีก็ยังไม่ถึงกับทำให้พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า ผู้เสียหายไม่ถูกข่มขืนกระทำชำเราส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความในคดีนี้ว่าถูกจำเลยกับพวกรวม 8 คนผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่เบิกความตอบโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 175/2541 ของศาลจังหวัดตรังว่าถูกจำเลยกับพวกรวม 7 คน ข่มขืนกระทำชำเรานั้น ก็ได้ความว่าผู้เสียหายได้เบิกความถึงรายชื่อบุคคลที่ข่มขืนกระทำชำเราตนตามลำดับถูกต้องตรงกันทั้งสองสำนวน เพียงแต่ตามสำนวนในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 175/2541 ของศาลจังหวัดตรังตามเอกสารหมาย ล.1 ผู้เสียหายซึ่งเบิกความในฐานะพยานมิได้เบิกความถึงจำเลยที่ 4 เนื่องจากจำเลยที่ 4 กำลังจะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแต่นายบอลห้ามไว้ จึงไม่ได้ลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนั้นข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงรายละเอียดไม่ถึงกับเป็นพิรุธ ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายขาดน้ำหนักให้รับฟังไม่ ส่วนที่พวกจำเลยบางคนข่มขืนกระทำชำเราทั้งผู้เสียหายและนางสาว ส. นั้น ก็ได้ความว่าผู้เสียหายและนางสาว ส. ถูกพวกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราห่างกันประมาณ 100 เมตร พวกจำเลยสามารถที่จะไปมาระหว่างบริเวณที่ผู้เสียหายกับนางสาว ส. ถูกข่มขืนกระทำชำเรา ดังนั้น การที่มีพวกจำเลยบางคนข่มขืนกระทำชำเราทั้งผู้เสียหายและนางสาว ส.นั้นย่อมเป็นไปได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำสืบว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 กับพวกหลายคนไปดื่มเบียร์ในขนำที่เกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1และที่ 2 นอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ไม่พบบุคคลอื่นจึงกลับหอพักก็เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนจำเลยที่ 3 และนายวิชิตแก้วกล้า เบิกความทำนองเดียวกันว่าวันเกิดเหตุเวลา 20 นาฬิกาขณะที่จำเลยที่ 3 อยู่ที่หอพัก นายวิชิตได้มารับจำเลยที่ 3 ตามที่นัดไว้แล้วไปนอนที่บ้านนายวิชิต จำเลยที่ 3 ไม่ได้ไปที่เกิดเหตุนั้นก็เป็นการกล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ ทั้งนายวิชิตก็เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำผิดด้วยกับจำเลยที่ 3 จึงไม่น่าเชื่อถือ ส่วนจำเลยที่ 4 นำสืบว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกับพวกดื่มเบียร์อยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อนจำเลยที่ 4 พูดว่าจะเอาผู้หญิงทั้งสองคน แล้วพวกของจำเลยที่ 4 ร่วมกันฉุดผู้เสียหายเข้าไปในขนำ อีกพวกหนึ่งฉุดนางสาว ส. ไปบริเวณข้างภูเขา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ร่วมด้วย หลังจากนั้นได้ยินเพื่อนของจำเลยที่ 4 ตะโกนว่าตำรวจมาเห็นคนจำนวนมากวิ่งหนีรวมทั้งผู้เสียหายและนางสาว ส. จำเลยที่ 4 กับเพื่อนเดินกลับบ้าน ระหว่างทางพบนายสุชานนท์ จำเลยที่ 4 กับเพื่อนซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายสุชานนท์กลับมาที่หอพักจำเลยที่ 1 นั้นจำเลยที่ 4 ก็รับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุ และมีการฉุดผู้เสียหายและนางสาว ส. ไป แต่ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าไม่ได้ร่วมด้วยนั้นก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือ พยานจำเลยทั้งสี่จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวให้ส่งตัวจำเลยทั้งสี่ไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมมีกำหนดเวลาขั้นต่ำ3 ปี ขั้นสูง 4 ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2)นั้น เห็นว่า การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กตามเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 104(2) นั้น ต้องไม่เกินกว่าที่เด็กหรือเยาวชนมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เว้นแต่กรณีที่ศาลมีคำสั่งตามวรรคสุดท้ายของมาตรา 104 ซึ่งตามบทบัญญัติของกฎหมายจะต้องระบุให้ชัดเจนในคำพิพากษาด้วยว่า เมื่อจำเลยมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วให้ส่งตัวจำเลยไปจำคุกไว้ในเรือนจำตามเวลาที่ศาลกำหนดด้วยคดีนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เกิดวันที่ 15 มกราคม 2524 วันที่ 19ตุลาคม 2523 วันที่ 12 มกราคม 2524 และวันที่ 3 เมษายน2524 ตามลำดับ ซึ่งจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์วันที่ 15 มกราคม2548 วันที่ 19 ตุลาคม 2547 วันที่ 12 มกราคม 2548 และวันที่ 3เมษายน 2548 ตามลำดับ ซึ่งระยะเวลาฝึกและอบรมขั้นสูง 4 ปีนับแต่มีคำพิพากษาคดีนี้ เมื่อคำนวณระยะเวลาแล้วจึงเกินกว่าจำเลยทั้งสี่มีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้น ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสี่ไปรับการฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา มีกำหนดขั้นสูงจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ตามมาตรา 104(2)ประกอบด้วยมาตรา 105 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว