แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 เจตนาฆ่าผู้ตายส่วนจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายเท่านั้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 288 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา290 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด พิพากษา ยกฟ้อง ดังนี้ ข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 288 เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็น อันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงในข้อหานี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 8 คงฎีกาได้เฉพาะข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 เท่านั้น
ผู้ตายกับ ส. ขึ้นไปบนเรือดูดทรายและผู้ตายถือไม้พายติดมือขึ้นไปด้วยโดยมีเจตนาจะก่อการวิวาท เพราะผู้ตายเคยมีสาเหตุกับชาวเรือดูดทรายมาก่อนทันทีที่ฝ่ายผู้ตายขึ้นไปบนเรือฝ่ายจำเลยซึ่งอยู่ในเรือดูดทรายและมีประมาณ 4 คน ก็กรูกันเข้ามาหาและเกิดการต่อสู้ชกต่อยกันขึ้น ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทต่อสู้กันฉะนั้นการที่จำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายถูกที่ราวนม 2 แผลระหว่างวิวาทต่อสู้กันนั้นจำเลยจะอ้างว่าแทงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน และเรียกนายศุภสิทธิ์ พลายศรี จำเลยสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 1 เรียกนายแสวง เอมสิงห์ จำเลยสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องและที่หลบหนีไปอีก 4 คน รวมเป็น 6 คน ได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังกายกับใช้เหล็กขูดชาฟท์ และเหล็กท่อนเป็นอาวุธ ชก ต่อย เตะ แทง และตี ทำร้ายร่างกายนายประวัติ เชยสาคร ถูกที่หน้าอกทะลุเข้าหัวใจโดยมีเจตนาฆ่านายประวัติได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลในวันเดียวกันนั้นสมเจตนาจำเลยทั้งสองกับพวก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 1 รับว่าแทงผู้ตายจริงแต่ทำไปเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 จำคุก 5 ปี คำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 แทงผู้ตายจริง แต่รูปคดีเป็นเรื่องผู้ตายเป็นฝ่ายหาเหตุก่อเรื่อง ควรได้รับโทษเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด สำหรับจำเลยที่ 2 ฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกันกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 15 ปี คำรับชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ไม่เป็นการป้องกันตัว ส่วนจำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมวิวาทด้วย แต่มิได้มีการวางแผนกันไว้ล่วงหน้าที่จะฆ่าผู้ตายจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 288 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 290 โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง ฉะนั้น ข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงในข้อหานี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 8คงฎีกาได้เฉพาะข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 เท่านั้น
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายกับนายสุทินขึ้นไปบนเรือเกิดเหตุโดยไม่มีใครเรียกและผู้ตายถือไม้พายติดมือขึ้นไปด้วย แสดงว่าผู้ตายกับนายสุทินมีเจตนาจะก่อการวิวาทเพราะผู้ตายเคยมีสาเหตุกับชาวเรือดูดทรายมาก่อนและทันทีฝ่ายผู้ตายขึ้นไปบนเรือเกิดเหตุฝ่ายจำเลยซึ่งมีประมาณ 4 คนก็กรูกันเข้ามาหาและเกิดการต่อสู้ชกต่อยกันเกิดขึ้น อันแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าแทงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหาได้ไม่ ผู้ตายได้รับบาดเจ็บ 2 แผลที่ราวนม ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายและตายเพราะแผลดังกล่าว ทั้งอาวุธที่ใช้ก็เป็นเหล็กแหลมจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การที่ผู้ตายกับนายสุทินขึ้นไปบนเรือดูดทรายซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวกมีหน้าที่ดูแลรักษา โดยเฉพาะเรือยนต์เป็นของจำเลยที่ 1 พร้อมกับถือไม้พายติดมือไปและขึ้นไปโดยไม่มีเหตุสมควรเห็นว่าผู้ตายกับนายสุทินเป็นฝ่ายก่อเหตุ คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นศาลของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก มีเหตุบรรเทาโทษสมควรได้รับการลดโทษให้เบาลงกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนด
สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น พยานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะฟังว่าได้กระทำผิด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษ ให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์