คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4997-4998/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาจากเจ้าของเดิม จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยอาศัยเจ้าของเดิมโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อบ้านและออกไปจากที่ดิน โดยบอกกล่าวหลังจากซื้อมาประมาณปีเศษ จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินเดือนละ 100 บาทขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่ในบ้านของผู้มีชื่อ มิได้อาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ ดังนี้เป็นคดีฟัองขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่ดิน ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งสัญญาอาศัย ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224

ย่อยาว

สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6622 แขวงจรเข้บัว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครโจทก์ได้ขอรังวัดแบ่งแยก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2522 เจ้าพนักงานไปทำการรังวัด จำเลยคัดค้านว่าที่ดินด้านทิศตะวันตกซึ่งอยู่ติดกับคลองวัดลาดปลาเค้า เนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา ที่จำเลยครอบครองมิได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ ขอให้พิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางการรังวัด ห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัด หากจำเลยไม่ถอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การและฟ้องแย้ง เดิมที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นของมารดาจำเลย เมื่อ พ.ศ. 2509 มารดาจำเลยยกที่ดินด้านที่ติดกับคลองวัดลาดปลาเค้า เนื้อที่ประมาณ 300 ตารางวาให้จำเลย จำเลยครอบครองโดยความสงบ และเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ ต่อมารดาจำเลยขายที่ดินให้ผู้มีชื่อ และผู้มีชื่อขายที่ดินให้โจทก์ ผู้มีชื่อก็ทราบว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองมิได้ขายด้วย ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง และให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขทะเบียนและรูปแผนที่เป็นของจำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า มารดาจำเลยไม่เคยยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลย หากยกให้ก็ไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยไม่ได้ครอบครองมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์เป็นบุคคลภายนอก ซื้อที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตจำเลยจะยกระยะเวลาครอบครองมาใช้ยันโจทก์ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6622 แขวงจรเข้บัว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครจำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันและเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 20/2 หมู่ 5 ที่ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดดังกล่าวโดยอาศัยเจ้าของเดิมปลูกอยู่เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแล้วไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อบ้านออกไป จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินเป็นเงินเดือนละ 100 บาท ถึงวันฟ้อง 12 เดือน เป็นเงิน 1,200 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารพร้อมกันรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโฉนดดังกล่าวหากไม่รื้อให้โจทก์มีสิทธิรื้อเองโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1,200 บาท กับค่าเสียหายต่อจากวันฟ้องเดือนละ 100 บาท จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินและรื้อถอนบ้านออกไป

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เดิมเป็นสามีภรรยากันแต่ได้เลิกร้างกันไปนานแล้ว บ้านดังกล่าวรื้อถอนไปแล้ว จำเลยที่ 2อาศัยอยู่บ้านจำเลยสำนวนแรกและไม่ได้อาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าเป็นจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 1, ที่ 2 สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้ามาอาศัยในที่ดินของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6622 บางส่วนตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 300 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องแย้ง ให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการตามประมวลกฎหมายที่ดิน ห้ามโจทก์ทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องและให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การครอบครองปรปักษ์ของจำเลยที่ 1 มิได้มีการจดทะเบียน จึงยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ บ้านเลขที่ 20/2 เป็นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปลูกอยู่ในที่พิพาท พิพากษากลับ ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ 6622 ของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รื้อบ้านออกจากที่ดินโฉนดดังกล่าว หากไม่รื้อให้โจทก์จัดการรื้อโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ ถ้าไม่ไปถอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินมาจากเจ้าของเดิมเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2521 จำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นสามีภรรยากันปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าวส่วนหนึ่ง โดยอาศัยเจ้าของเดิม โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินพร้อมกับรื้อบ้านออกไปเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2522 แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินส่วนนี้เดือนละ100 บาท จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย 1,200 บาท กับค่าเสียหายต่อจากวันฟ้องเดือนละ 100 บาท จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 3 ให้การว่า อาศัยอยู่ในบ้านของจำเลยที่ 1มิได้อาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ ดังนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่ดินซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้เพียงเดือนละ 100 บาทและจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งสัญญาอาศัย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ บ้านที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทเป็นบ้านเลขที่ 20/2 ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2, ที่ 3 แพ้คดี ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับสำนวนหลังและให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share