คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141-1144/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติถึงระยะเวลายื่นขอเฉลี่ยของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ว่า’ในกรณีอายัดทรัพย์สินให้ยื่นคำขอเสียก่อนที่มีการชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้ และไม่ว่ากรณีใดๆห้ามมิให้ยื่นคำขอช้ากว่าสามเดือนนับแต่วันอายัด’คำว่า อายัด ในมาตรานี้ หมายถึงการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เพราะเป็นการเฉลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกัน หามีผลรวมถึงการอายัดชั่วคราวก่อนคำพิพากษาด้วยไม่

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยพร้อมกับยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโดยขอให้ศาลออกคำสั่งอายัดเงินค่าประกันภัย ซึ่งบริษัทไพบูลย์ประกันภัย จำกัด และบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด จะต้องจ่ายให้จำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วออกคำสั่งอายัดชั่วคราวให้ตามที่โจทก์ขอ

บริษัทไพบูลย์ประกันภัย จำกัด และบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัดชำระเงินที่ถูกอายัดต่อศาล

ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน684,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นออกประกาศปิดไว้ที่หน้าศาลเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2523บังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ต่อมาวันที่25 ธันวาคม 2523 โจทก์ขอหมายบังคับคดี

ผู้ร้องทั้งสี่ต่างยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ตามคำพิพากษา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลสั่งอายัดชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2523ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยช้ากว่าสามเดือนนับแต่วันอายัด จึงให้ยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องทั้งสี่เสีย

ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ผู้ร้องทั้งสี่เฉลี่ยได้ตามคำร้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติถึงระยะเวลายื่นขอเฉลี่ยของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ว่า”ในกรณีที่อายัดทรัพย์สิน ให้ยื่นคำขอเสียก่อนที่มีการชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้และไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามมิให้ยื่นคำขอช้ากว่าสามเดือนนับแต่วันอายัด” คำว่า อายัดในมาตรานี้ ย่อมหมายถึงการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เพราะเป็นการเฉลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกัน ความข้อนี้จะเห็นได้ชัดแจ้งเมื่ออ่านมาตรา 290 วรรคแรกประกอบ เพราะกฎหมายใช้คำว่า “เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว” ซึ่งแสดงว่าต้องเป็นการอายัดโดยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั่นเองถ้าหากตีความคำว่าอายัดในมาตรา 290 วรรคสี่ ให้มีผลรวมถึงการอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษาด้วยแล้ว ผลก็จะกลายเป็นว่าเจ้าหนี้ซึ่งศาลยังมิได้พิพากษา เพียงแต่อยู่ในชั้นยื่นฟ้องเท่านั้น ก็มีสิทธิในการเฉลี่ยดีกว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเสียแล้วซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ คดีนี้บริษัทผู้รับอายัดทั้งสองได้ชำระเงินที่ถูกอายัดต่อศาล เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2523 และวันที่ 10 กันยายน 2523 แต่เป็นการชำระเงินตามหมายอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2523 แล้ว การอายัดนั้นจึงเพิ่งจะเริ่มมีผลเป็นการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2523 เป็นต้นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) ซึ่งการอายัดตามคำพิพากษาดังกล่าวจะครบสามเดือนก็ต่อเมื่อพ้นวันที่ 3 มกราคม 2524 แล้ว ฉะนั้นการที่ผู้ร้องทั้งสี่นี้ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2523, 1 ธันวาคม 2523, 2 ธันวาคม 2523 และ 8 ธันวาคม 2523 ตามลำดับ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในช่วงระยะเวลาก่อนครบสามเดือนนับแต่วันอายัดตามคำพิพากษาทั้งสิ้น จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสี่ยื่นขอเฉลี่ยช้ากว่าสามเดือนนับแต่วันอายัดตามความหมายในมาตรา 290 วรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ

Share